คดีดังกล่าวนายอภิสิทธิ์ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายจตุพร โดยระบุในคำฟ้องว่าช่วงระหว่างวันที่ 29 ม.ค.53-15 ก.พ.53 ได้ปราศรัยหมิ่นประมาทใส่ความต่อหน้ากลุ่ม นปช. และประชาชนที่รับฟังและชมโทรทัศน์ที่มีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศในทำนองว่านายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นสั่งฆ่าประชาชนและหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร และข้อความอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
ก่อนหน้านี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า ในส่วนที่จำเลยหมิ่นโจทก์หลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร พยานเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจน ขัดแย้งกันในบางส่วน ถือว่าจำเลยติชมด้วยความสุจริตเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพราะโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลสาธารณะ ย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามความเหมาะสม
แต่คดีที่จำเลยปราศรัยว่าโจทก์เป็นนายกรัฐมนตรีที่สั่งปราบปรามและเข่นฆ่าประชาชน พิพากษาให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 50,000 บาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวันเป็นเวลา 7 วัน ซึ่งจำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่าย และต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น พิพากษายืนให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 50,000 บาทในประเด็นดังกล่าว