นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ยืนยันว่าหากจะมีการเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนอกบัญชีรายของพรรคการเมืองจะต้องให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภามีมติ 2 ใน 3 หรือ 500 คนจาก ส.ส.และส.ว.ทั้งหมด 750 คนตามก่อนให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติเลือกนายกฯตามเดิม ไม่ใช่มติ 3 ใน 5 หรือ 450 ของส.ส.และส.ว.ทั้งหมด 750 คนตามที่นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะ กรธ.แถลงไปเมื่อวานนี้
"ขอแก้ข่าว เมื่อเช้าตกใจเห็นสื่อมวลชนไปพาดหัวข่าวว่า กรธ.กลับลำ 360 องศา ตกใจว่าเปลี่ยนแปลงตัวเลขดังกล่าวตั้งแต่เมื่อใด เพราะตามข้อตกลง คือตัวเลข 2 ใน 3 ซึ่งได้สอบถามอาจารย์อุดมและได้รับคำชี้แจงว่าเอกสารรายละเอียดที่พิมพ์มานั้น คือตัวเลข 3 ใน 5 แต่ผมทักท้วงว่าตอนที่คุยกันคือเลข 2 ใน 3 ทุกที เมื่อตรวจสอบอีกครั้งจึงพบว่าเป็นความผิดของผมเอง คือ ตอนพิมพ์นั้นมือของตนคงไปพิมพ์เป็น 3 ใน 5 เพราะมีการพูดถึงเรื่องตัวเลขทั้ง 2 แบบ จึงเกิดการสับสน และมือก็พิมพ์ตามที่เถียงๆ กัน เมื่อพิมพ์แล้วกรธ.ก็ไม่มีใครกล้าถาม จากนั้นจึงนำไปแถลงเป็นตัวเลข 3 ใน 5 ตามข่าว ดังนั้นขอแก้ข่าวในส่วนดังกล่าวด้วย และยืนยันใช้ตัวเลขเดิม คือ 2 ใน 3 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงใดๆ และขอยอมรับในความผิดพลาด" นายมีชัย กล่าว
นายมีชัย กล่าวว่า การยอมปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญตามคำขอของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยืนยันว่าไม่ได้มีความขัดแย้งกับรัฐบาลหรือคสช. เพราะว่าบอกแล้วว่าจดหมายที่มีมานั้นเขียนว่า เรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ซึ่งแปลได้ว่าไม่ใช่คำสั่ง แต่พวกสื่อมวลชนไปแปลว่าเป็นคำสั่ง
"คำสั่งเราได้รับมาเยอะจากคนทั่วไปให้แก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่เคยได้รับคำสั่งจากคสช." นายมีชัย กล่าว
ขณะที่ความคืบหน้าการพิจารณาทบทวนร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราในการจัดประชุมนอกสถานที่ ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายนั้น นายมีชัย กล่าวว่า จากสถิติที่ทำมา 2 วันพบว่าไปได้ช้า ซึ่งที่ช้าเนื่องจากตนนั่งอยู่ในห้องประชุมด้วย และเมื่อใครมีข้อสงสัยจะสอบถามตนให้มีคำอธิบาย เมื่อตนไม่อยู่ในห้องประชุมการพิจารณาทำได้เร็ว ดังนั้น กรธ. จึงเห็นว่าวันนี้ (25 มี.ค.) ช่วงบ่ายให้ตนขึ้นไปนอน ไม่ให้ทำแล้ว ส่วนมีข้อติดขัดก็ค้างพิจารณาไว้ก่อน