นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ออกมาแถลงข่าวแสดงความกังวลต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นจะส่งผลกระทบต่อรายงานสิทธิมนุษยชนของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ หรือ TIP Report หรือไม่ว่า คงไม่สามารถประเมินได้ แต่หวังว่าจะไม่ส่งผลอะไรต่อการพิจารณาในเรื่องนี้ อีกทั้งเรื่องการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์นั้นถือเป็นวาระแห่งชาติที่ไทยได้ทำอย่างเต็มที่ และมองไม่เห็นเหตุผลใดที่จะให้ไทยคงอยู่ในระดับ Tier 3 อีกต่อไป เพราะไทยได้แก้ไขปัญหามากกว่าปกติแล้ว
"ขอให้ทุกคนก้าวข้าม โดยเห็นว่าควรจะเดินหน้ามองเรื่องอื่นๆ ซึ่งตั้งแต่วันที่มีการแถลงก็ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันอีก และไม่คิดว่าคำพูดของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ จะเป็นการโน้มน้าวให้ต่างชาติคิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงจะขอไม่พูดในเรื่องนี้อีก และถือว่าเรื่องนี้จบแล้ว"
ส่วนกรณีการนำเสนอรายงานด้านสิทธิมนุษยชนตามกลไกขององค์การสหประชาชาติ หรือคณะทำงาน UPR นั้น นายดอน ยืนยันว่าเป็นเรื่องที่ทุกประเทศสามารถจะไปรับฟังคำซักถามโดยไม่มีมาตรการใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งในส่วนของสหรัฐฯ เอง ก็ถูกประเทศต่างๆ ตั้งคำถาม 377 ข้อ ซึ่งเป็นวงรอบที่สหรัฐฯ ต้องไปนำเสนอรายงาน และสหรัฐฯ เองก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องของสิทธิเด็กได้ ขณะที่ในเวทีชี้แจงประเทศในแถบตะวันตกก็ไม่สามารถแก้ไขในบางเรื่องได้
"ดังนั้นจึงขอทำความเข้าใจกับทุกคนว่าเวทีคณะทำงาน UPR ไม่ใช่เวทีถล่มประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นเวทีที่เปิดรับฟังความคิดเห็นและการแก้ไขปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน หลังจากนี้ไทยจะมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อที่จะสรุปแนวทางแก้ไข ภายหลังจากที่ไปรับข้อเสนอแนะมาว่าจะสามารถถามและดำเนินการในเรื่องไหนได้บ้าง" รมว.ต่างประเทศ ระบุ
ส่วนกรณีที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เตรียมยกเลิกการปรับทัศนคตินั้น เป็นเพราะข้อเสนอแนะจากคณะทำงาน UPR หรือไม่นั้น นายดอน ระบุว่า จะส่งผลหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่อยากให้รับรู้ว่ารัฐบาลนี้เอาใจใส่ประชาชน ซึ่งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับตลอดว่าต้องคำนึงถึงประชาชนเป็นสำคัญ
พร้อมมองว่า ขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเชิญนักวิชาการต่างประเทศมาแสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์การเมืองไทย เพราะประเทศไทยยังอยู่ในภาวะปกติ และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นแล้วประเทศไทยมีสิทธิเสรีภาพอย่างมาก ประชาชนมีสิทธิในการพูดและกระทำมากกว่าประเทศอื่น