ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อไต่สวนพยานจำเลยนัดแรก ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท
โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้แถลงเปิดคดีโดยปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันว่าการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้กระทำผิดตามคำฟ้องของโจทก์และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบการการทุจริต (ป.ป.ช.) ใดๆทั้งสิ้น และยืนยันว่าโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ให้ประโยชน์กับชาวนา โดยไม่ได้มีการตั้งราคาสูงเกินไปตามที่มีการกล่าวหา ซึ่งการกำหนดราคาที่ 15,000 บาท/ตันนั้น ทำให้ราคาข้าวในตลาดเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และส่งผลดีให้ชาวนามีรายได้มากขึ้นส่วนการรับจำนำทุกเมล็ดนั้น เป็นการให้สิทธิ์กับชาวนาทุกคน และยังเป็นการช่วยยกระดับราคาข้าวทั้งตลาดและส่งผลดีทำให้ชาวนาที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับประโยชน์ไปด้วย พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่ได้เป็นการผูกขาดทางการค้าข้าว หรือบิดเบือนกลไกตลาดใดๆทั้งสิ้น
นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวมีความคุ้มค่า และมูลค่าความเสียหายไม่ได้เป็นไปตามที่อนุกรรมการปิดบัญชีได้มีการคำนวณตัวเลขออกมา ซึ่งมองว่าอนุกรรมการปิดบัญชีไม่ได้มีหน้าที่ประเมินความเสียหายตามกฎหมายและการวิเคราะห์ความเสียหายนั้นเป็นการคิดวิเคราะห์การขาดทุนแบบภาคเอกชน ซึ่งไม่ได้มีการประเมินการขาดทุนทางภาครัฐที่จะต้องคำนึงว่าการดำเนินโครงการที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไร
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีก็มีแต่มุ่งมั่นด้วยความซื่อสัตย์ไม่เคยคิดคดโกง และการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวตลอด 5 รอบไม่เคยก่อหนี้สาธารณะและไม่เป็นภาระต่อนโยบายของรัฐแต่อย่างใด
พร้อมยืนยันว่า ตัวเลขความเสียหายนั้นไม่ได้เกินกรอบวงเงินทุนหมุนเวียนที่รัฐบาลกำหนดเอาไว้ที่ประมาณค่าแต่ละบาทซึ่งมีตัวเลขยืนยันเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 56 ออกมา ยืนยันว่ากรอบวงเงินทุนหมุนเวียนไม่เกิน 5 แสนล้านบาท จากการดำเนินนโยบายดังกล่าว พร้อมทั้งยืนยันว่าโครงการนี้ไม่ได้ส่งผลก่อให้เกิดหนี้สาธารณะเกินเพดานที่กำหนดไว้ที่ 60% เพราะตลอดโครงการที่ผ่านมากรอบหนี้สาธารณะอยู่ในระดับ 50% เท่านั้น
"ตนเองไม่ได้ละเว้นหรือเพิกเฉยต่อการตรวจสอบการทุจริตในโครงการระบายข้าวแบบจีทูจี ที่ตนเองได้มอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้ลงนามในสัญญาการซื้อขายข้าวไทย ซึ่งการที่ ป.ป.ช.เร่งการตรวจสอบนั้น ถือว่าเป็นการดำเนินการแบบ 2 มาตรฐาน เนื่องจากคดีโครงการประกันราคาข้าวก่อนหน้านี้ป.ป.ช.ชี้มูลเพียงรัฐมนตรีพาณิชย์เพียงคนเดียว ใช้เวลาไต่สวนเพียง 5 ปี แต่คดีตนเองใช้เวลาเพียง 79 วันแต่ชี้มูลความผิดรัฐมนตรีพาณิชย์ในอีก 8 เดือนถัดมา โดยยืนยันว่า โครงการรับจำนำข้าวไม่ได้ขัดต่อมติ ครม.ซึ่งหากจะยกเลิกโครงการต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาวนาเป็นหลัก และการจะแก้ปัญหาจำเป็นต้องแก้ที่การปฏิบัติ ไม่ใช่มายกเลิกนโยบาย รวมถึงการยกเลิกนโยบายใดๆ ต้องมีการพิจารณาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย"
พร้อมกันนี้ อดีตนายกรัฐมนตรี ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ทำไมฝ่ายโจทก์และป.ป.ช.ไม่เปิดโอกาสฟังพยานฝ่ายจำเลย ฟังแต่พยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อโครงการนี้เท่านั้น
"ดิฉันได้พบเอกสารฉบับหนึ่ง จึงขอตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใด ดิฉันจึงไม่ได้รับความเป็นธรรม เมื่อดิฉันได้พบเอกสารรายงานการประชุมลับ นบข. ที่กล่าวถึงการทำหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ที่ระบุว่า “ประธาน นบข. ให้ข้อสังเกตว่า หน้าที่ของคณะกรรมการ คือ ประเมินความเสียหาย และนำส่งข้อมูลให้กรมบัญชีกลางตั้งเรื่อง ไม่ต้องพิจารณาประเด็นยุติธรรม แต่ต้องดำเนินการตามกรอบเวลาให้ทันการส่งฟ้อง มิฉะนั้นจะถือเป็นความบกพร่อง ของ 3 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักนายกฯ กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์"น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
ขณะที่มีแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) และอดีตผู้บริหารพรรค เดินทางมาให้กำลังใจและเข้าร่วมฟังการพิจารณาด้วย ด้านบรรยากาศภายนอกมีประชาชนนำดอกกุหลาบมาให้กำลังใจน.ส.ยิ่งลักษณ์จำนวนหนึ่ง