ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้แถลงเปิดคดีด้วยวาจา ต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในการไต่สวนพยานจำเลยครั้งแรกในคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบโครงการรับจำนำข้าว โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชม. จากนั้นได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนพยานและตอบคำถาม ซักค้านพยานฝ่ายโจทก์ ซึ่งอัยการได้ตั้งคำถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า จากการรายงานตัวเลขปิดบัญชีเมื่อวันที่ 30 ก.ย.57 พบว่ามีตัวเลขขาดทุนจากโครงการรับจำนำข้าวประมาณ 536,000 ล้านบาท ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ปฏิเสธ โดยไม่ขอรับรองว่าตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขที่ถูกต้อง แต่ยืนยันว่าการดำเนินนโยบายที่รัฐบาลพยายามจะให้เกิดการขาดทุนน้อยที่สุดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับราคาตามตลาดโลก และขึ้นกับการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) ในสมัยนั้น
ทั้งนี้ อัยการได้ตั้งคำถามต่อว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลสามารถปรับเปลี่ยนนโยบายได้ใช่หรือไม่ โดยได้ตั้งข้อสังเกตจากการที่รัฐบาลเคยปรับราคารับซื้อข้าวจาก 15,000 บาท/ตัน ลดลงมาเหลือ 12,000 บาท/ตัน และได้ปรับกลับไปเป็น 15,000 บาท/ตันอีกครั้ง ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชี้แจงว่า การปรับราคาข้าวลงมาเหลือ 12,000 บาท/ตัน ทำให้ถูกร้องเรียนจากสมาคมชาวนาไทย รวมทั้งอดีตผู้นำฝ่ายค้านที่คัดค้านว่าควรต้องคงราคาเดิมไว้ จึงทำให้คณะรัฐมนตรีมีมติปรับราคารับซื้อข้าวขึ้นไปเป็น 15,000 บาท/ตันตามเดิม เพียงแต่ได้จำกัดปริมาณการรับซื้อไว้รายละไม่เกิน 5 แสนบาท ซึ่งเรื่องนี้ไม่ถือเป็นการขัดต่อนโยบาย และเป็นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
อัยการได้ตั้งคำถามถึงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ที่พบว่าไม่ได้มีการดำเนินการจริง โดยตั้งคำถามว่ามีการส่งมอบข้าวไปจีนจริงหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบว่า เรื่องการระบายข้าวแบบจีทูจีได้มีมติ ครม.ออกมารับรองขั้นตอนการดำเนินการ โดยฝ่ายปฏิบัติคือ อนุกรรมการระบายข้าว และอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งครม.ไม่ได้ก้าวล่วงในส่วนนี้ จึงต้องการให้ไปถามฝ่ายผู้ปฏิบัติจะดีกว่า แต่ยืนยันว่าเมื่อมีข้อท้วงติง รัฐบาลก็ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบในเรื่องนี้