คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการในการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ณ เวลา 19.33 น. ซึ่งเป็นผลการนับคะแนนไปแล้ว 94% จากจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิทั้งประเทศ 27,623,126 คน พบว่า ประเด็นที่ 1 ในส่วนของร่างรัฐธรรมนูญ มีประชาชนเห็นชอบ 15,562,027 คน หรือคิดเป็น 61.40% และไม่เห็นชอบ 9,784,680 คน หรือคิดเป็น 38.60%
ส่วนประเด็นที่ 2 ในส่วนของคำถามพ่วงท้าย มีประชาชนเห็นชอบ 13,969,594 คน หรือคิดเป็น 58.11% และไม่เห็นชอบ 10,070,599 คน หรือคิดเป็น 41.89%
ทั้งนี้ มีจำนวนบัตรดี 26,688,729 ล้านใบ และบัตรเสีย 869,043 ใบ
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า กกต.ไม่สามารถรายงานผลการนับคะแนนที่ 95% ได้แม้กฎหมายการออกเสียงประชามติจะกำหนดไว้ เพราะเมื่อปรึกษาหารือกันแล้วมองว่าหากปล่อยให้มีการนับคะแนนไปไกลกว่านี้อาจจะเกิน 95% อาจเกิดปัญหาว่าทำผิดกฎหมายประชามติ ดังนั้น ผลที่เหลือคงต้องรอการรวบรวมคะแนนอย่างเป็นทางการ คาดว่าวันพุธที่ 10 ส.ค.น่าจะรวบรวมได้แล้วเสร็จทั้งหมดและในวันดังกล่าว กกต.ก็จะประชุมเพื่อรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการเพื่อนำเสนอให้รัฐบาลไปดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ตาม จากการดูสถิติตัวเลข ณ ขณะนี้แล้ว ผลการนับคะแนนเสียงอย่างเป็นทางการคงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากนี้อย่างเป็นนัยสำคัญ เพราะถือว่าคะแนนรับและไม่รับทิ้งห่างกันพอสมควร
นายสมขัย กล่าวว่า ต้องบอกตามตรงว่าการจัดการลงประชามติครั้งนี้มีอุปสรรคพอสมควร มีแรงเสียดทาน ท่ามกลางบรรยากาศที่โจมตีกันไปมา เกิดแรงกดดันกับ กกต.หลายเรื่อง ซึ่งการที่ กกต.สามารถจัดการภายใต้ข้อจำกัดของบรรยากาศทางการเมืองในปัจจุบัน ถือว่าได้ดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายและเท่าที่ต่างประเทศทำ ที่สำคัญมีผลลงคะแนนให้ประชาชนได้รับทราบเร็วกว่าที่คาดไว้ในเวลา 21.00 ขณะที่เหตุการณ์ทุกอย่างราบรื่นไม่มีปัญหา มีเพียงแค่คนฉีกบัตร โดยสาเหตุส่วนใหญ่คือสีบัตรที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเหตุการณ์รุนแรง
"กกต.ทำอย่างเต็มที่และทำอย่างโปร่งใส ให้ประชาชนได้ถ่ายภาพการนับคะแนน มีการติดแฮชแทค ให้ประชาชนตรวจสอบได้ สามารถตรวจผลคะแนนรายหน่วยได้ ปัญหาของใครอย่างไร รับหรือไม่รับก็แล้วแต่ เมื่อเสียงส่วนใหญ่ของคนในประเทศคิดแบบนี้ก็ควรยุติแล้วเดินหน้าประชาธิปไตยภายใต้ทางเลือกที่ประชาชนกำหนด" นายสมชัย กล่าว