พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังนายสะเหลิมไซ กมมะสิด (H.E. Mr. Saleumxay Kommasith) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวคนใหม่ เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการว่า นายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่ง สปป.ลาว กล่าวแสดงความยินดีต่อผลการลงประชามติ และชื่นชมต่อนโยบายของรัฐบาลไทย โดยรัฐบาลลาวสนับสนุนการปฏิรูปตามโรดแมพ และเห็นว่าความสงบและความเจริญก้าวหน้าของไทย เป็นเงื่อนไขสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการพัฒนาของ สปป.ลาว โดยสองฝ่ายต่างเห็นพ้องว่า ความสัมพันธ์ทวิภาคีในปัจจุบันอยู่ในจุดที่ดีที่สุด และพร้อมจะร่วมกันขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป
นอกจากนี้ ในระหว่างการสนทนา ได้มีติดตามผลการเยือนไทยของของนายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่ง สปป.ลาว ในด้านต่างๆ ดังนี้ ด้านความเชื่อมโยงในภูมิภาคและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไทยสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อเชื่อมโยงไทย – ลาวและเชื่อมต่อไปยังประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาค โดยนายกรัฐมนตรีเสนอให้พิจารณาการสร้างความเชื่อมโยง โดยใช้หลักการว่า อะไรที่ทำได้เร็ว ให้ทำก่อน ไม่ว่าจะเป็นเส้นทาง R12 และสะพานเชื่อมโยงระหว่างกัน เพื่ออำนวยความสะดวกการไปมาหาสู่ระหว่างกัน โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน และช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและการดำรงชีพอย่างยั่งยืนของประชาชนในพื้นที่
ด้านการค้าการลงทุน นายกรัฐมนตรีได้ขอให้รัฐบาลลาวช่วยดูแลนักลงทุนไทยที่เข้าไปลงทุนยัง สปป.ลาว โดยเฉพาะการให้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎระเบียบและอำนวยความสะดวก ซึ่งทางฝ่ายลาวเองพร้อมสนับสนุนไทยเพื่อให้เป็นนักลงทุนอันดับ 1 ในลาว เช่นกัน โดยที่ไทยพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติ การจัดตั้งศูนย์ One stop service และระบบ E-government ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนต่างชาติมากขึ้น
ด้านความร่วมมือด้านพลังงาน สองฝ่ายยินดีที่มีการเพิ่มพูนความเชื่อมโยงด้านพลังงานไฟฟ้าไทย – ลาว โดยไทยจะขยายการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าภายใต้กรอบ MOU ว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาไฟฟ้าในลาว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย “แบตเตอรี่แห่งเอเชีย" ที่สำคัญของลาว จึงขอให้หน่วยงานของทั้งสองฝ่ายเจรจาและหารือให้มีความคืบหน้าและเสร็จสิ้นโดยเร็ว
สำหรับความร่วมมือด้านแรงงาน นายกรัฐมนตรีย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแรงงานลาวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างเป็นระบบ โดยขอให้ฝ่ายลาวพิจารณา การจดทะเบียนพิสูจน์สัญชาติมาจากทางฝั่งลาว เพื่อช่วยลดขั้นตอนการดำเนินการในไทย และเพื่อให้แรงงานลาวที่เข้ามาทำงานอย่างถูกต้องได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งทางฝ่ายลาวเห็นว่ามีประโยชน์ต่อแรงงานลาวและจะนำไปเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ระหว่างวันที่ 6 – 8 ก.ย.59 ที่รัฐบาลลาวในฐานะประธานอาเซียนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในปีนี้นั้น นายกรัฐมนตรีได้แสดงความพร้อมที่จะเข้าร่วมและสนับสนุนฝ่ายลาวอย่างเต็มที่ เพื่อให้การประชุมดังกล่าวเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะในประเด็นที่ลาวให้ความสำคัญ 8 ประเด็น ที่จะช่วยผลักดันแนวคิด "Turning Vision into Reality for a Dynamic ASEAN" โดยที่ฝ่ายลาวเองได้ยืนยันการเข้าร่วมและสนับสนุนการจัดประชุม ACD ครั้งที่ 2 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนตุลาคมนี้ เช่นกัน