นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการแถลงผลงานของรัฐบาลครบรอบ 2 ปีในสัปดาห์หน้าว่า อย่าเพิ่งวิพากษ์วิจารณ์ เพราะต้องรอฟังใน 2 ส่วน คือ 1. งานปกติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและความก้าวหน้าต่างๆว่า มีความคืบหน้ามากแค่ไหน และ 2. งานด้านการปฏิรูป ที่เป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลในการใช้อำนาจผลักดัน จึงหวังว่ารัฐบาลจะมีการชี้แจงใน 2 ส่วนนี้ ส่วนงานด้านการปราบปรามการทุจริตที่รัฐบาลประกาศเป็นนโยบายหลักนั้น ประชาชนพึงพอใจจากการบังคับใช้กฎหมายที่เคร่งครัดขึ้นมาก แต่การวางระบบในอนาคตนั้น ก็ยังมีหลายเรื่องที่ยังไม่สำเร็จ
ทั้งนี้ ยอมรับว่า มีความกังวลต่อการยกร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง แต่ยังต้องขอรอดูรายละเอียดก่อน และจากข้อเสนอของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เห็นว่ายังไม่มีปัญหามากเท่าไร ส่วนข้อเสนอใหม่ๆ ที่จะมาจากสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และสภาบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จึงจะต้องรอดูว่าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะพิจารณาอย่างไร ส่วนข้อเสนอที่ให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบจัดการเลือกตั้งนั้น เห็นด้วยว่า กกต. ควรจะมีหน่วยงานราชการอื่น ๆ และอาสาสมัครจากภาคธุรกิจ ที่ไม่ใช่จากหน่วยงานราชการเพียงอย่างเดียว เพราะ กกต. ไม่สามารถจัดเลือกตั้งได้เพียงหน่วยงานเดียว
ส่วนตัวเห็นด้วยกับข้อเสนอที่ให้พรรคการเมืองต้องส่งรายละเอียดนโยบายที่ชัดเจนของพรรคการเมืองที่จะใช้หาเสียงกับประชาชน ให้ กกต. พิจารณาก่อนการเลือกตั้ง คือควรชี้แจงให้ชัดว่างบประมาณจะมาจากไหน ผลกระทบในทุกๆ ด้านจะเป็นอย่างไร ควรจะมีการเข้มงวดในเรื่องเหล่านี้มากขึ้น แต่ กกต. ไม่ควรจะอยู่ในฐานะที่จะวินิจฉัยว่า นโยบายนั้นจะเป็นจริงได้แค่ไหน เช่นในกรณีที่มีการนำเสนอข้อเท็จจริง แต่ต่อมาเห็นได้ชัดว่าเป็นการหลอกลวง หรือทำไม่ได้ก็ควรมีความผิดเหมือนทุจริตการเลือกตั้งเพราะเข้าข่ายหลอกลวงประชาชนเพื่อให้ได้คะแนนเสียง แต่ก็ไม่ใช่ กกต.ที่จะวินิจฉัยได้ทั้งหมด เพราะเป็นเรื่องที่พิสูจน์กันภายหลัง จึงควรจะมีกลุ่มที่มีความน่าเชื่อถือในภาคการศึกษา หรืออาสาสมัครภาคธุรกิจเข้ามาเป็นตัวเสริมร่วมกับ กกต. อย่าไปมองเฉพาะกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง
สำหรับกรณีข้อเสนอของ กกต. ที่ระบุให้ยุบพรรคการเมืองที่ไม่ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น ตามหลักแล้ว ถือเป็นสิทธิของพรรคการเมืองในการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากพรรคใดส่งผู้สมัครเพียงคนเดียว จะถือว่าเป็นการบอยคอตหรือไม่ ดังนั้น จึงขอให้ดูอย่างรอบด้านว่า แท้จริงแล้วปัญหาคืออะไร ส่วนกรณีรีเซตสมาชิกพรรคการเมืองนั้น ตนไม่เข้าใจข้อเสนอนี้ ที่ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่เพราะอะไร ส่วนเรื่องการส่งชื่อแทนกันเพื่อสมัครลงเลือกตั้งนั้น คิดว่า ทาง กกต.ก็มีการจัดฐานข้อมูลอยู่แล้ว ผู้เสนอเรื่องนี้อาจจะไม่ทราบก็ได้ รวมถึงที่อยากให้สมาชิกพรรคจ่ายค่าบำรุงพรรค 200 บาท ต่อปี ปัจจุบันก็มีเงินบำรุงพรรคอยู่แล้ว ถ้าไม่จ่ายเงิน คนนั้นก็จะต้องพ้นจากสมาชิกพรรคไป ทำไมต้องมาเริ่มต้นใหม่ให้วุ่นวาย ถ้าให้เหตุผลมา ตนก็พร้อมจะรับฟัง แต่เหตุผลที่เสนอให้รีเซตสมาชิกพรรคการเมืองมาในขณะนี้นั้น ดูแล้วไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
กรณีการแต่งตั้งนายทหารเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา เชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปตามระบบ เราก็หวังที่จะให้กองทัพเป็นเอกภาพ เป็นหลักในการปกครองที่ดูแลป้องกันประเทศ ทำให้เกิดความสงบเรียบร้อย ซึ่งที่ผ่านมาประชาชนก็เชื่อมั่นกองทัพในภาพรวม เพราะฉะนั้นขอให้รักษาภาพรวมนี้ไว้ให้ได้ต่อไป