พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวปาฐกถาในงาน "บางกอกโพสต์ ฟอรัม 2016" เรื่องการเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย โดยยืนยันว่า รัฐบาลนี้จะอยู่บริหารประเทศอีกเพียง 1 ปี ตามโรดแมพที่วางไว้เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งในปลายปี 60 พร้อมทั้งจะจัดทำกฏหมายลูกในเรื่องแนวทางปฏิรูปเพื่อให้รัฐบาลได้สานต่อ และคาดหวังให้งานที่รัฐบาลวางไว้ได้รับการสานต่อเพราะไม่อยากให้เสียเปล่า ส่วนมาตรา 44 ที่รัฐบาลประกาศใช้ยังมีผลบังคับใช้ต่อไป แต่ก็สามารถปรับแก้ได้ผ่านการประชุมรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมตรีไม่ขอแสดงความเห็นเรื่องที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยไม่ขอพูดถึงในเรื่องนี้ แต่ยืนยันว่า จะออกจากการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีทันทีในวันเปิดประชุมสภาฯ ของรัฐบาลใหม่ พร้อมทั้งฝาก ส.ว.ที่อยู่ในวาระ 5 ปี ให้เข้ามาช่วยดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่าน
"เรื่องการเป็นนายกฯ ต่อ ไม่ขอตอบ เป็นเรื่องอนาคต แต่ตอนนี้มองถึงอนาคตไปสู่การเลือกตั้งให้ได้"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ทั้งนี้ รัฐบาลได้วางแผนเตรียมยุทธศาสตร์ชาติให้นักการเมืองจากการเลือกตั้งมาสานต่อ และหากเดินตามแผนงานที่วางไว้ก็จะทำให้ประเทศไม่ล้มอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาละเลยการปฏิบัติตามแผน ดังนั้นรัฐบาลนี้จึงเข้ามาปรับเปลี่ยน โดยยึดประโยชน์ของคนในชาติ และแม้ว่าจะมีรัฐมนตรีเริ่มเหนื่อยในการทำงาน แต่ตนเองเหนื่อยไม่ได้ และทิ้งงานที่ทำอยู่ไม่ได้ และต้องการเห็นการปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงของประเทศโดยไม่จำเป็นต้องผ่านการบาดเจ็บล้มตาย
ขณะที่โรดแมพในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ต้องวางรากฐานตั้งแต่วันนี้ และมีการศึกษาในทุกระบบ รวมทั้งเรียนรู้ทุกช่วงวัย พร้อมย้ำถึงการวางยุทธศาสตร์ 20 ปี เพื่อรองรับคนรุ่นใหม่ในอนาคตที่เรียบจบออกมาทำงาน
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ไทยมีรัฐธรรมนูญแบบของตนเองที่เป็นสากล โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพราะมีพื้นฐานแตกต่างไปจากประเทศอื่นๆ ส่วนแนวทางสร้างความปรองดองถือว่าดีขึ้นมาก โดยประชาชนเริ่มพูดคุยกันในทางที่ดี แต่หากเป็นเรื่องใหญ่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี และยังมีคนไม่กี่กลุ่มที่ไม่พอใจรัฐบาลและละเมิดกฎหมาย ซี่งรัฐบาลไม่เคยละเมิดบุคคลเหล่านี้และให้อภัยอยู่ตลอด แต่ยังมีความพยายามการนำเรื่องต่างๆ ไปฟ้องร้ององค์กรต่างประเทศ และบางคนพยายามยั่วยุให้ถูกจับกุม และขอให้ทุกภาคส่วน ทั้งเอกชนและเอ็นจีโอร่วมมือกับรัฐบาล ไม่ใช่โต้แย้งทุกเรื่อง เพื่อไม่ให้ประเทศจมอยู่ที่เดิม
ส่วนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในระดับหนึ่ง เนื่องจากภาคธุรกิจมีความเข้มแข็งสามารถอยู่ได้ด้วยตนเอง แต่รอบ 10 ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นทศวรรษแห่งความล่าช้า หยุดชะงักทุกด้าน และที่ผ่านมาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ในปี 57 ช่วงการชุมนุมอยู่ที่ 0.8% แต่เมื่อรัฐบาลนี้เข้าในปี 2558 GDP ขยับขึ้นเป็น 2.8% และในไตรมาสแรกของปี 2559 อยู่ที่ 3.2% และไตรมาส 3 อยู่ที่ 3.5% และเชื่อว่าปลายปีจะปรับขึ้นอีก
แต่ยอมรับว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจยังไม่กระจายตัว ดังนั้นต้องเน้นไปยังเศรษฐกิจฐานรากโดยเชื่อมโยงกับต่างประเทศ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางสอดคล้องกับศักยภาพทางภูมิศาสตร์
ขณะที่การแก้ปัญหาจราจร ได้มอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กำกับดูแลการแก้ปัญหา โดยปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่จราจรดูแลตลอดเส้นทาง โดยพบว่ามี 21 เส้นทางที่การจราจรดีขึ้น แต่จะแก้ปัญหาทั้งหมดทันทีไม่ได้ เพราะถนนมีจำกัด ดังนั้นจึงต้องเน้นการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคม และทบทวนเส้นทางเดินรถของขสมก. และต่อไปนี้จะไม่มีการเขียนใบสั่ง แต่จะส่งถึงบ้าน และนำระบบบออนไลน์มาใช้ หากไม่จ่ายค่าปรับจะดำเนินการยึด และไม่ต่อใบอนุญาตขับขี่ พร้อมมองว่าต้องทำเมืองใหม่ และวางผังเมืองที่มีคุณภาพ โดยได้วางแผนไว้แล้ว
นายกรัฐมนตรี ย้ำถึงการบริหารจัดการน้ำ 2 ปีว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็บริหารได้ดีพอสมควร เพราะไม่ทำให้เกิดปัญหาภัยแล้ง แต่ก็ต้องพบปัญหาน้ำท่วมบ้าง เพราะเป็นไปไม่ได้ว่าจะไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วมเลย เนื่องจากยังไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำที่ดีพอ แต่สำคัญคือการสร้างกระบวนการเรียนรู้ พร้อมทั้งมองว่า ปัญหาอยู่ที่การบริหารจัดการน้ำในอดีตส่วนหนึ่งมาจากการทำนาโดยใช้น้ำจำนวนมาก เพื่อเร่งเข้าสู่โครงการจำนำข้าว
นายกรัฐมนตรีย้ำว่า การดูแลความสงบเรียบร้อยดีขึ้น แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเฝ้าระวัง เพราะยังมีบางกลุ่มเคลื่อนไหวอยู่ โดยเฉพาะในช่วงเปลี่ยนผ่าน ส่วนการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยืนยันว่า ไม่ได้เลี้ยงไข้เพื่อขอใช้งบประมาณ ซึ่งส่วนตัวได้สวดมนต์ไม่ให้ทหารในพื้นที่เสียชีวิต ซึ่งการแก้ปัญหาใช้แนวทางการพัฒนาควบคู่กับการใช้กฎหมาย โดยทหารทำหน้าที่ปกป้องสถานการณ์เท่านั้น ดังนั้นประชาชนมุสลิมอย่ากังวลและขอให้ไว้ใจเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานในพื้นที่