นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ชี้แจงกรณีที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ออกมาระบุศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ผ่านการลงประชามติเกินคำขอว่า ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นตรงกันกับ กรธ.ที่จะให้รัฐสภาร่วมกันเห็นชอบรายชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยให้ ส.ส.เป็นผู้เสนอรายชื่อผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าในวรรคสองเรื่องกำหนดเวลาไม่ตรงกับคำถามที่ผ่านการทำประชามติ จึงเห็นตรงกันว่าควรกำหนดกรอบเวลาเดียวกัน เพื่อไม่ให้ขัดแย้งกับผลประชามติ
"ความในวรรคแรกก็ไม่มีปัญหา เห็นตรงกับทาง กรธ.แต่ในวรรคสองมีปัญหาจุดแรกที่โดดเด่นทำให้งงงวยมาก ใช้คำว่าในวาระเริ่มแรกนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำไมไม่ตรงกับวรรคแรกที่ใช้คำว่าในระหว่างห้าปีแรกนับตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรกซึ่งตรงกับคำถามเพิ่มเติมที่ให้ประชาชนลงประชามติ...โดยที่ประชุมฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ (8:1) ว่าต้องใช้กรอบเวลาเดียวกัน" นายจรัญ กล่าวทางสถานีโทรทัศน์เช้านี้
นายจรัญ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่ขอให้ทาง กรธ.ปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องตามเนื้อหาของการทำประชามติ โดยเป็นการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวที่บังคับใช้อยู่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต ดังนั้นขอให้ตัดคำว่าวินิจฉัยตามคำขอออกไปได้เลย
"ยังไงก็ต้องแก้ จะขอหรือไม่ขอ เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตรวจพบอย่างนี้ ก็ต้องทำให้ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้วิแพ่ง(ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง) ที่ไม่ให้พิพากษาเกินคำขอ ศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องตรวจสอบให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ตรวจสอบให้ถูกต้องตามคำของ กรธ. มันคนละระบบ คนละศาล" นายจรัญ กล่าว
นายจรัญ กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเรื่องให้สมาชิกรัฐสภาเข้าชื่อขอยกเว้นนำบัญชีรายชื่อจากพรรคการเมืองนั้น เพื่อปลดล็อคปัญหาหากไม่สามารถดำเนินการตามวรรคแรกที่ใช้เสียง ส.ส.กึ่งหนึ่ง เพราะขั้นตอนนี้ไม่ใช่การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี แต่เป็นการร่วมกันแก้ปัญหาของประเทศในกรณีที่ไม่สามารถแต่งตั้งผู้ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง
"ถ้าติดล็อคจะใช้เวลานานเท่าไหร่ แล้วประเทศอยู่ในภาวะเช่นนั้นนานๆ จะเป็นอันตราย เราไม่ได้คิดถึงทฤษฎีอะไรสำคัญไปกว่าทฤษฎีความมั่นคงอยู่รอดของประเทศชาติ ทำอย่างนี้ก็ไม่ได้ไปตัดสิทธิท่าน ส.ส." นายจรัญ กล่าว
นายจรัญ กล่าวว่า คงไม่สามารถตอบแทนที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ว่า กรธ.จะขอเข้าพบเพื่อขอความชัดเจนกรณีคำวินิจฉัยได้หรือไม่