นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในประเด็นคำถามพ่วงนั้นทุกคนต้องเคารพดุลพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ ต่อจากนี้ไปก็เป็นภาระหน้าที่ของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่จะต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชนจากการทำประชามติและจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะกระบวนการในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นคนในบัญชีพรรคการเมืองหรือนอกบัญชีพรรคการเมือง มีความชัดเจนว่าท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าจะเป็นอย่างไรสมาชิกวุฒิสภา 250 คนก็เป็นผู้ร่วมในการเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็พอคาดเดาได้ว่าคนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีจะมาจากคนกลุ่มใด
ดังนั้นเมื่อมีการกำหนดที่ชัดเจนเช่นนี้แล้ว การที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า หากเลือกนายกรัฐมนตรีรอบแรกไม่ได้และใช้ระยะเวลานานกว่าที่ควรจะเป็นก็สามารถใช้มาตรา 44 ยุบสภาได้นั้นเป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้องและไม่สมควร เมื่อมีกระบวนการเลือกตั้งก็มีการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญที่ได้กำหนดขั้นตอนไว้ หากเลือกไม่ได้ก็มีขั้นตอนกำหนดไว้แล้ว
"ถ้านี้คือคำขู่เพื่อให้ทิศทางประเทศเป็นไปตามที่รัฐบาลทหารกำหนดไว้คงไม่เป็นผลดีกับการเลือกตั้งในครั้งหน้า แต่ถ้าคิดว่าหากสิ่งที่คิดที่จะทำดีแล้วก็ให้พวกท่านทำไปเลย แต่ไม่ควรมาขู่คนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน หากใช้มาตรา 44 ยุบสภาเพราะเหตุที่ไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ งบประมาณกี่พันล้านบาทที่ต้องเสียไป ท่านต้องมองเพื่ออนาคตประเทศบ้าง ที่เลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้คือไม่ได้คนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีตามที่รัฐบาลทหารต้องการใช่หรือไม่ อะไรที่ต้องแย้งไว้เพื่อให้เห็นว่าสิ่งที่พูดไม่ถูกต้องก็ต้องทำบ้าง เพราะผู้มีอำนาจที่ไร้การตรวจสอบก็จะมีการลุ่มหลงและบ้าอำนาจเป็นเรื่องปกติของมนุษย์" นายราเมศ กล่าว