พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในงานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (JFCCT) โดยระบุว่า แม้ประเทศไทยยังอยู่ในช่วงแห่งความโศกเศร้าอาลัย เพราะสูญเสียพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งพระองค์ท่านทรงงานหนักเพื่อคนไทยมาตลอดการครองราชย์ 70 ปี แต่ก็จะต้องเปลี่ยนความรู้สึกนี้เป็นพลังและร่วมมือกันในการขับเคลื่อนไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งสถานการณ์ของประเทศไทยในขณะนี้ถือว่ายังมีเสถียรภาพในทุกด้าน และยืนยันว่ารัฐบาลจะเดินหน้าตามโรดแมปที่วางไว้ นั่นคือการนำไปสู่การเลือกตั้งที่มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแสดงออกของคนไทยทุกคน เกิดจากความจงรักภักดีที่มีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยไร้ซึ่งการบังคับใดๆ แต่เป็นความสมัครใจที่ออกมาจากใจของคนไทยทุกคน ส่วนที่มีคนบางกลุ่มเห็นไม่ตรงกับคนทั้งประเทศนั้นเป็นเพียงส่วนน้อยที่มีความคิดเห็นต่าง
ในระยะเวลาอีกไม่นานประเทศไทยจะมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ในช่วงเวลาที่เหลือของรัฐบาลจะเดินหน้าวางรากฐานของประเทศตามยุทธศาตร์ 20 ปี ซึ่งไม่ว่าตนจะอยู่ในตำแหน่งหรือไม่ แต่ยุทธศาสตร์ที่วางไว้หวังจะให้มีการสานต่อ และรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชนที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาในการดำเนินนโยบายของรัฐบาลได้ขจัดอุปสรรค แก้ไขปัญหาที่สะสมคั่งค้าง ปรับปรุงกติกาและกฏหมายต่างๆ สร้างฐานรากฐานใหม่ให้ประเทศเข้มแข็ง เอื้อต่อการลงทุน และน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้เกิดความยั่งยืนและพร้อมให้การสนับสนุนทุกประเทศ
"ถ้าไม่ทำวันนี้ก็ช้าเกินไป ผมไม่ได้มาทำร้ายใคร แต่ต้องการวางพื้นฐานระยะยาว มุ่งมั่นสร้างบรรยากาศเอื้อต่อการลงทุน ถ้าไม่จบเรื่องความขัดแย้งก็ไปไหนไม่ได้ทั้งหมด พยายามเปิดโอกาสให้มีความคล่องตัวมากขึ้น อยากให้ทุกท่านมาช่วยเราสร้างเศรษฐกิจใหม่ เพราะรัฐบาลทำเองไม่ได้ทุกอย่าง รัฐบาลทำเพียงเรื่องระเบียบกฏหมายต่างๆ ผมมั่นใจสิ่งที่พูดได้ผลไม่มากก็น้อย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ตนไม่ได้รู้สึกว่าเป็นนายกรัฐมนตรี แต่รู้สึกเป็นเหมือนเพื่อนเหมือนญาติกับทุกคน และอยากเชิญชวนให้ทุกคนหันกลับมาช่วยประเทศไทย และช่วยให้โลกเกิดความสงบสุขด้วยสันติ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการพัฒนา และช่วยกระจายรายได้ไปสู่ผู้ที่มีรายได้น้อย และอยากให้ทุกคนมองเห็นศักยภาพของประเทศไทย และมองไทยอย่างเป็นธรรมโดยอย่ามองว่าตนเองเป็นอุปสรรคในการพัฒนา เพราะตนไม่ได้มุ่งหวังเป็นอะไรทั้งสิ้น และอยากเห็นประเทศเกิดความสงบสุขเท่านั้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า จากการสำรวจการจัดลำดับความสามารถด้านการแข่งขันของหลายองค์กร ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ดีที่น่าเข้ามาลงทุน ซึ่งถือเป็นการสะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไทยที่มีผลมาจากการทำงานร่วมกันของรัฐบาลและทุกภาคส่วน รัฐบาลเน้นการเติมเต็มในสิ่งที่ประเทศกำลังขาดและปรับโครงสร้างการพัฒนาทุกด้าน โดยยึดแนวทางพัฒนา 2 ด้านหลัก คือ รัฐบาลจะต้องดูแลทุกภาคส่วนให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และส่วนที่ 2 คือ การดำเนินนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติ การศึกษาและใช้ความรู้จากการวิจัยและพัฒนาต่อยอดไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อไห้ไทยก้าวพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลางสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0 ที่จะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศควบคู่ไปกับการดูแลทุกภาคส่วนของประเทศ
อีกทั้งยังมีโครงการที่เป็นการวางพื้นฐานให้กับประเทศ ทั้งเรื่องการพัฒาเขตการค้าตามแนวชายแดน ระเบียงเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก การส่งเสริมอุตสาหกรรมผ่านกลุ่มคลัสเตอร์ใหม่ๆ รวมถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบ โดยมองเห็นว่าสภาหอการค้าต่างประเทศและนักลงทุนจากทุกประเทศถือเป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนาครั้งนี้ด้วย