นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ในฐานะตัวแทนทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยเข้ายื่นหนังสือต่อกรมสรรพากรเพื่อขอให้พิจารณาทบทวนยุติการตรวจสอบและการจะประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากการขายหุ้น บมจ.อินทัช (INTUCH) หรือเดิมคือ บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น (SHIN) หรือ ชินคอร์ป โดยระบุว่าความพยายามของรัฐบาลที่กดดันให้กรมสรรพากรทำการประเมินและเรียกเก็บภาษีจากอดีตนายกรัฐมนตรีทั้งที่ไม่สามารถดำเนินการได้
นายเรืองไกร กล่าวว่า ครั้งนี้ต้องการเตือนกรมสรรพากรในการทำหน้าที่เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว โดยควรยึดหลักตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสิน ไม่ควรยึดหลักตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ซึ่งระบุว่าหมายเรียกเก็บภาษียังใช้การได้ เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนการประเมินภาษี เพราะอาจนำไปสู่คดีความเกิดการฟ้องร้องกันไปมา
ขณะที่ข้าราชการที่เกี่ยวข้องคงจะไม่ได้โดนเพียงการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 เท่านั้น แต่ยังมี มาตรา 123 ตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วย
นายเรืองไกร กล่าวว่า หากกรมสรรพากรมีการส่งหมายเรียกเพื่อประเมินภาษีมายังอดีตนายกรัฐมนตรีคงต้องมาดูในรายละเอียดว่าอ้างอิงประเด็ฯใด หากอ้างอิงคำสั่งของศาลภาษีอากรกลาง ในการใช้มาตรา 19 ก็คงจะไม่ได้ เพราะเกินกำหนดเวลามาแล้ว และจะใช้หมายเรียกที่เคยออกเมื่อปี 50 ก็คงจะไม่ได้อีก เพราะหมายเรียกที่เคยออกเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 50 ศาลได้มีคำสั่งเพิกถอนไปแล้ว ส่วนหมายเรียกเมื่อ 6 พ.ย. 49 ก็ได้ถูกยกเลิกเช่นเดียวกัน
"เมื่อนับอายุความคดีดังกล่าวได้หมดอายุความไปแล้ว 6 เดือน จึงไม่ใช่การครบกำหนด 31 มี.ค.50 มองว่าไม่สามารถจัดเก็บภาษีดังกล่าวได้ ดังนั้นหากกรมสรรพากรยังเดินหน้าต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาอีกหลายคดี และยังต้องถูกฟ้องร้องดำเนินคดีความผิดมาตรา 123 ตามกฎหมาย ป.ป.ช....ซึ่งผมเห็นใจเจ้าหน้าที่ ข้าราชการประจำ โดยเฉพาะของกรมสรรพากรซึ่งต้องทำงานด้วยความลำบากใจ"