กลุ่มเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) และกลุ่มสหพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ รวมตัว 200-300 คนร่วมชุมนุมด้านหน้าอาคารรัฐสภาเพื่อยื่นหนังสือถึงนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม และ ร่าง พ.ร.บ.เงินได้ปิโตรเลียม ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของ สนช. วาระ 2 และวาระ 3 ในวันนี้
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำ คปพ. กล่าวย้ำจุดยืนของกลุ่มผู้ชุมนุมว่า การชุมนุมวันนี้ไม่ใช่เป็นการชุมนุมเพื่อขับไล่รัฐบาล และ สนช.แต่เป็นการรวมตัวเพื่อรักษาผลประโยชน์ทางพลังงานปิโตรเลียมของไทย โดยเฉพาะในแหล่งเอราวัณและบงกชที่สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้มากกว่า 200,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเกรงว่าจะตกอยู่ในมือของภาคเอกชน โดยได้ยื่นหนังสือเรียกร้องให้ สนช. ถอนร่างกฏหมายพ.ร.บ.ปิโตรเลียมและพ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียมออกจากการพิจารณาในวันนี้ โดยมีนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสนช. เป็นผู้รับหนังสือ
สำหรับข้อเรียกร้องของเครือข่ายฯ ระบุว่า ก่อนที่จะมีการประมูลผลิตปิโตเลียมในระบบแบ่งปันผลผลิต หรือ การจ้างผลิต ให้มีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติให้เสร็จสิ้นเสียก่อน เพื่อดำเนินการบริหารและขายปิโตเลียมในส่วนของรัฐให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม พร้อมกับต้องแก้ไขเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.ทั้งสองฉบับให้สอดคล้องกับรายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้ พ.ร.บ.ปิโตเลียม พ.ศ.2514 และ พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. 2514
สนช. ต้องระบุให้ชัดเจนในระบบแบ่งปันผลผลิตว่า หากใช้วิธีการประมูลแข่งขันการเสนอส่วนแบ่งปิโตรเลียมรัฐต้องได้ประโยชน์สูงสุดเป็นเกณฑ์ แต่หากเป็นระบบการจ้างผลิตให้ใช้เกณฑ์ค่าจ้างขั้นต่ำในการพิจารณา พร้อมกันนี้ต้องมีมาตรการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนทั้งทางตรงและทางอ้อมของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งหาก สนช.ยังเดินหน้าลงมติพรบ.ทั้ง 2 ฉบับ และมีการตัดมาตรา 10/1 ในเรื่องการตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติโดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากเครือข่ายประชาชนนั้น ทางกลุ่มจะมีการเคลื่อนขบวนไปที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรีต่อไป
ด้านนายพีระศักดิ์ กล่าวว่า จะนำข้อเรียกของกลุ่มเครือข่ายฯไปให้สมาชิก สนช. และประธานสนช. พิจารณาก่อนที่จะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พร้อมยืนยัน สนช.ไม่มีใบสั่งหรือผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งจะพิจารณาด้วยความรอบคอบ ทั้งนี้ยังคงมีสมาชิกที่มีความเห็นแตกต่างและได้แปรญัติเอาไว้ จึงขอให้กลุ่มเครือข่ายฯติดตามการพิจารณาในวันนี้ พร้อมขอบคุณที่มีความห่วงใยประเทศ
ส่วนการรักษาความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล 1 นครบาล 6 และชุดควบคุมฝูงชน รวม 3 กองร้อย ดูแลอย่างเข้มงวด และปิดการจราจรถนนอู่ทองในหน้ารัฐสภาแล้ว โดยเปิดให้สมาชิกเข้าออกอาคารรัฐสภาได้ที่ประตูฝั่งถนนราชวิถีเพียงประตูเดียว