ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้กรมการกงสุลเพิกถอนคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางทั้ง 3 ฉบับของนายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย เนื่องจากเป็นการใช้ดุลพินิจในการออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
คดีนี้นายจาตุรนต์ ฉายแสง ได้ยื่นฟ้อง กระทรวงการต่างประเทศ ที่ 1, กรมการกงสุล ที่ 2, รมว.ต่างประเทศ ที่ 3, ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ที่ 4, อธิบดีกรมการกงสุล ที่ 5, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 6 และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ 7 เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำร้องและคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเจ็ดที่ยกเลิกหนังสือเดินทางทั้งสามฉบับของผู้ฟ้องคดี โดยระบุว่า คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ที่ยกเลิกหนังสือเดินทางทั้งสามฉบับของผู้ฟ้องคดีเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ ต้องการเพียงตอบโต้ผู้ฟ้องคดีที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ขณะที่ผู้ฟ้องคดีมิได้เป็นบุคคลที่มีหมายจับหรือเดินทางไปต่างประเทศ กระบวนการยกเลิกหนังสือเดินทางของผู้ฟ้องคดีเร่งรีบผิดปกติ ใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ และเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
ศาลเห็นว่า ระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 และข้อ 23 ที่ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธหรือยับยั้งการขอหรือแก้ไขหนังสือเดินทาง รวมทั้งยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ออกหนังสือเดินทางไปแล้ว มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการป้องกัน หรือแก้ไขปัญหาผู้กระทำความผิดคดีอาญา ซึ่งกำลังรับโทษอยู่ หรือตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาเนื่องจากถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางอาญา อยู่ระหว่างการดำเนินคดีในศาลและได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หรือหลบหนีคดีอาญาจนมีการออกหมายจับไว้แล้ว รวมทั้งกรณีบุคคลที่ศาลหรือเจ้าพนักงานซึ่งมีอำนาจตามกฎหมายอื่นสั่งห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรมีพฤติการณ์ที่จะหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรเพื่อหลีกเลี่ยง การถูกจับกุมคุมขัง ถูกดำเนินคดีอาญา หรือรับโทษทางอาญา หากบุคคลดังเช่นว่านั้นหลบหนีหรือใช้ประโยชน์จากหนังสือเดินทางเพื่อเดินทางออกนอกราชอาณาจักรก็จะเป็นภาระแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่จะต้องสืบหา หรือระบุถิ่นที่อยู่เพื่อใช้เป็นข้อมูลหลักฐานประกอบคำร้องขอให้ส่งตัวบุคคลดังกล่าวเข้ามาดำเนินคดีหรือรับโทษทางอาญาในราชอาณาจักรในฐานะที่เป็นผู้ร้ายข้ามแดน หรือคำร้องขอความช่วยเหลือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาไปยังประเทศที่มีผู้ต้องหาปรากฏตัวหรือมีถิ่นที่อยู่ ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ยกเป็นข้ออ้าง เพื่อขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 พิจารณายกเลิกหนังสือเดินทางของผู้ฟ้องคดีได้
แต่สำหรับรายของผู้ฟ้องคดีข้อเท็จจริงปรากฏแต่เพียงว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เนื่องจากฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ไม่ไปรายงานภายในระยะเวลาที่กำหนด มีโทษจำคุกเพียงไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนข้อหากระทำการให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และเป็นการกระทำเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินตามมาตรา 116 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีที่มาจากเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2558 ผู้ฟ้องคดีได้แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊ก กรณีการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองออกจากตำแหน่งว่า การถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่บัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี พ.ศ.2558 ของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขัดต่อหลักการที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนชาวไทยและเป็นการทำลายหลักการเกี่ยวกับการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างอำนาจอธิปไตยทั้งสามอย่างร้ายแรง ซึ่งเรื่องการถอดถอนนี้สาระสำคัญอยู่ในมาตรา 253 กับมาตราอื่นที่เชื่อมโยงกันนั้น ผู้ฟ้องคดีได้ปฏิเสธข้อหานี้และอยู่ระหว่างการต่อสู้คดีในชั้นศาล โดยศาลได้มีคำสั่งให้ปล่อยตัวชั่วคราว
ในระหว่างการพิจารณาคดีเพียงแต่มีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลเท่านั้น ดังนั้น ถึงแม้ผู้ฟ้องคดีจะเป็นบุคคลต้องห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุมัติจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 21/2557 ลงวันที่ 23 กรกฎาคม 2557 และศาลทหารกรุงเทพก็ตาม แต่ที่ผ่านมากลับปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีเคยได้รับอนุมัติจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติซึ่งถือได้ว่าเป็นพนักงานฝ่ายปกครองและศาลทหารกรุงเทพให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปประเทศจีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเยอรมัน ในระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม 2557 ถึงวันที่ 23 มิถุนายน 2558 รวมหลายครั้ง กรณีจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้ฟ้องคดีมิใช่ผู้ที่ศาลหรือพนักงานฝ่ายปกครองเห็นว่าไม่ควรจะออกหนังสือเดินทางให้ เนื่องจากได้รับอนุมัติให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรอยู่เป็นประจำ ประกอบกับหากผู้ฟ้องคดีมิได้รับอนุมัติจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและศาลทหารกรุงเทพตามเงื่อนไขที่ได้กำหนดไว้เสียก่อน ผู้ฟ้องคดีย่อมต้องเป็นบุคคลที่ต้องห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรตามคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและศาลทหารกรุงเทพ ซึ่งเท่ากับว่าผู้ฟ้องคดีถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรอยู่แล้ว
สำหรับในช่วงที่ผ่านมาซึ่งผู้ฟ้องคดีเคยได้รับอนุมัติจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและศาลทหารกรุงเทพให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรบ่อยครั้งและผู้ฟ้องคดีก็เดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรภายในระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในคำสั่งที่ได้รับอนุมัติทุกครั้ง โดยไม่มีท่าทีหรือพฤติการณ์ว่าจะหลบหนีคดีอาญาออกนอกราชอาณาจักร หรือออกนอกราชอาณาจักรไปแล้วไม่ยินยอมกลับเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดีอาญาทั้งในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือข้อหากระทำการให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และเป็นการกระทำเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินตามมาตรา 116 แห่งประมวลกฎหมายอาญาแต่อย่างใด จึงไม่เป็นภาระหน้าที่แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ที่จะต้องกังวลในการสืบหา ระบุถิ่นที่อยู่เพื่อใช้เป็นข้อมูลหลักฐานประกอบคำร้องขอให้ส่งตัวผู้ฟ้องคดีเข้ามาดำเนินคดีหรือรับโทษทางอาญาในราชอาณาจักรในฐานะที่เป็นผู้ร้ายข้ามแดน หรือมีคำร้องขอความช่วยเหลือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาไปยังประเทศที่มีผู้ฟ้องคดีปรากฏตัวหรือมีถิ่นที่อยู่ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 ยกขึ้นอ้างเป็นเหตุเพื่อขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 พิจารณายกเลิกหนังสือเดินทางของผู้ฟ้องคดี
"ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเจ็ดยกเลิกหนังสือเดินทางทั้งสามฉบับของผู้ฟ้องคดีโดยมีเจตนาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 7 อ้าง ย่อมชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า มาตรการในการยกเลิกหนังสือเดินทางทั้งสามฉบับของผู้ฟ้องคดีไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ข้างต้นได้ กรณีจึงยังมิอาจถือได้ว่า มาตรการยกเลิกหนังสือเดินทางทั้งสามฉบับของผู้ฟ้องคดีมีความเหมาะสมหรือสมควร ตรงกันข้ามมาตรการดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงในการใช้สิทธิมีและใช้หนังสือเดินทางเพื่อการเดินทางออกนอกราชอาณาจักรซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ฟ้องคดีอย่างรุนแรง จึงเท่ากับว่า ประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้มาตรการดังกล่าวมีน้ำหนักน้อยกว่าผลเสียที่เกิดขึ้นแก่ผู้ฟ้องคดี อีกทั้งยังไม่ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเจ็ดได้ใช้มาตรการยกเลิกหนังสือเดินทางกับบุคคลอื่นที่มีพฤติการณ์ในลักษณะเดียวกับผู้ฟ้องคดีที่ฝ่าฝืนคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาตามมาตรา 116 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเช่นเดียวกันกับผู้ฟ้องคดี กรณีจึงถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ใช้ดุลพินิจในการออกคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางทั้งสามฉบับของผู้ฟ้องคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมแก่ผู้ฟ้องคดี
พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ที่ยกเลิกหนังสือเดินทางทั้งสามฉบับของผู้ฟ้องคดี โดยให้มีผลย้อนหลังไปนับแต่วันที่มีคำสั่งยกเลิก คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก" คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ระบุ