นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า ตามที่ประเทศไทยในฐานะรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต ค.ศ.2003 ของสหประชาชาติ เข้ารับการประเมินตามกลไกของอนุสัญญา โดยการประเมินจะเน้นในเรื่องการกำหนดฐานความผิดที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตไว้ในกฎหมายภายใน การบังคับใช้กฎหมายและความร่วมมือระหว่างประเทศ
ในการประเมินดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช.รับหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการรายงานข้อมูล ซึ่งผลการประเมินในภาพรวมออกมาเป็นที่น่าพอใจ และได้มีการรายงานผลการประเมินต่อที่ประชุมสหประชาชาติเรียบร้อยแล้ว อาจกล่าวได้ว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลการประเมินของประเทศไทยอยู่ในระดับที่ดีมาจากการแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่มีหลักการใหม่ที่สำคัญ เช่น การริบทรัพย์ตามมูลค่า การกำหนดให้อายุความสะดุดหยุดลงในกรณีที่ผู้กระทำความผิดหลบหนี ความรับผิดของนิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้สินบนเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นต้น
นอกจากนี้ การประเมินตามพันธกรณีของอนุสัญญาดังกล่าวยังส่งผลให้นานาชาติเห็นถึงเจตจำนงของรัฐบาลไทยและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการทุจริต
อย่างไรก็ตาม ผลของการประเมินชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายภายในบางประการเพิ่มเติม เพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเพื่อเตรียมการสำหรับการประเมินในรอบที่ 2 ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ มีจุดเน้นเรื่องการติดตามทรัพย์สินในคดีทุจริตกลับคืนสู่รัฐ โดยสำนักงาน ป.ป.ช.ได้เสนอประเด็นไว้ในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายไปยังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เพื่อพิจารณาแล้ว ได้แก่ ประเด็นการกำหนดความผิดฐานขัดขวางกระบวนการยุติธรรม การเข้าถึงข้อมูล การติดต่อสื่อสารและกลไกในการติดตามทรัพย์สินที่มีการยักย้ายไปต่างประเทศกลับคืนสู่ประเทศไทย
ทั้งนี้ การแก้ไขกฎหมายที่ผ่านมา รวมถึงข้อเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวจะส่งผลให้การดำเนินคดีทุจริตระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีสินบนข้ามชาติ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งช่วยให้การติดตามผู้กระทำความผิดและติดตามทรัพย์สินกลับคืนสู่ประเทศไทย เพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี