พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้เล่าให้ที่ประชุม ครม.ทราบถึงความคืบหน้าเรื่องของกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติและกฎหมายปฏิรูปประเทศซึ่งผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปแล้ว และรัฐบาลได้นำขึ้นกราบบังคมทูลฯ แล้วตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา รอเพียงจะพระราชทานลงมาเมื่อไหร่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นไปตามกรอบระยะเวลา
"เมื่อใดที่มีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ในวันรุ่งขึ้น หมายความว่าสภาปฏิรูปขับเคลื่อนประเทศ (สปท.) จะสิ้นสุดวาระลง" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
ส่วนที่ สปท.ต้องการพบนายกรัฐมนตรีเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันหลายประการ นายกรัฐมนตรีให้แนวทางว่าขอไปจัดที่ห้องประชุมรัฐสภาเลย โดยจะเชิญตัวแทนแม่น้ำทุกสาย ทั้งสายใหม่ในปัจจุบันและสายเก่าในอดีตมาหารือร่วมกัน โดย สปท. สนช. จะเชิญมาทั้งคณะ แต่ถ้าเป็นคณะที่หมดวาระไปแล้ว เช่น สปช.ที่มีอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรือคณะของอาจารย์เทียนฉายก็จะเชิญมาเฉพาะตัวประธาน
หลังจากประกาศใช้กฎหมายยุทธศาสตร์ชาติและกฎหมายปฏิรูปไปแล้ว 15 วัน ก็ต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ 11 คณะ คณะละ 15 คน ซึ่งปัจจุบันมีการแต่งตั้งไปแล้ว 2 คณะ คือ คณะปฏิรูปฯ ด้านการศึกษา กับคณะปฏิรูปฯ ตำรวจ ยังเหลืออีก 9 คณะที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
ในส่วนคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครม.ก็ต้องแต่งตั้งให้เสร็จภายใน 1 เดือน ทำให้คาดว่าแผนปฏิรูปด้านต่างๆ และแผนยุทธศาสตร์ชาติน่าจะเสร็จสิ้นประมาณกลางปีหน้า
ส่วนกรณีมีข้อสงสัยว่าเมื่อมีคณะกรรมการปฏิรูปด้านต่างๆ ครบแล้ว คณะกรรมการ ป.ย.ป.ที่มีอยู่ 4 คณะยังมีความจำเป็นต้องดำรงอยู่ต่อไปหรือไม่ ซึ่งได้มีการหารือกันแล้วว่ากว่าจะมีแผนยุทธศาตร์ชาติปฏิรูปเบ็ดเสร็จ ซึ่งกระบวนการขั้นตอนมีอยู่ไม่น้อยต้องมีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอีก เพราะฉะนั้น ปยป.จึงมีความจำเป็นต้องดำรงอยู่ต่อไปอย่างน้อยจนกระทั่งถึงกลางปีหน้า
"แต่ท่านนายกฯ ได้เน้นย้ำว่า ปยป.ก็ไม่ควรใช้งบประมาณในการดำเนินการมาก เพราะเป็นจับตาของทุกคน เมื่อวันข้างหน้ามีคณะกรรมการปฏิรูป มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเข้ามาแล้ว ซึ่งก็ต้องทำซ้ำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ปยป.จะแก้ปัญหาแต่ละเรื่องไม่ควรใช้งบประมาณมาก" พล.ท.สรรเสริญ กล่าว