พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงการยึดทรัพย์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า กระบวนการดังกล่าวเป็นไปตามคำสั่งทางปกครองให้อดีตนายกรัฐมนตรีชดใช้ค่าเสียหายจากโครงรับจำนำข้าว 20% ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด ซึ่งกรมบังคับคดีได้ดำเนินการไปตามขั้นตอนของคำสั่งทางปกครอง ไม่เกี่ยวข้องกับคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ส.ค.นี้
"ยังมีคดีแพ่งที่จะดำเนินการอีกเรื่องหนึ่ง เป็นคนละเรื่องกัน อย่านำทั้ง 3 คดีมาปนกัน จนเกิดการปลุกระดม บิดเบือนข้อมูล นำมวลชนมาให้กำลังใจ อ้างรัฐบาลรังแกไปยึดทรัพย์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากอดีตนายกรัฐมนตรีจะดำเนินการอุทธรณ์ต่อศาลปกครองเพื่อขอบรรเทาคดีไม่ให้ยึดทรัพย์ก็ถือเป็นสิทธิที่จะกระทำได้ในการร้องขอความเป็นธรรม แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาล หากศาลมีคำสั่งให้บรรเทาฯ ทางการก็ต้องปฎิบัติตตาม หรือหากมีคำสั่งไม่บรรเทาฯ ทางการก็ต้องดำเนินการอายัดทรัพย์ต่อ
ส่วนกรณีผู้ประกอบการโรงสีที่จังหวัดอ่างทอง ออกมายืนยันว่าข้าวในโรงสีเป็นข้าวคุณภาพดี แต่ถูกตีว่าเป็นข้าวเสื่อมคุณภาพนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้เกิดการรั่วไหลในการระบายข้าว แต่หากเกิดการรั่วไหลก็พร้อมให้เกิดการสอบสวนทันที เพราะมีตัวอย่างการทุจริตให้เห็นเกิดมาก่อนหน้านี้ ซึ่งตนเองจะไม่ทำเหมือนคนอื่น แต่ขอให้เห็นใจการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่ทำด้วยความสุจริต และขอให้ไปหาคนที่ทำให้เกิดการทุจริตแล้วจะนำมาลงโทษ
เนื่องจากการตรวจสอบโกดังข้าวมีมากกว่า 1 พันโกดัง แต่หากเกิดปัญหารั่วไหลก็ต้องมีการตรวจสอบ ซึ่งอาจจะต้องมีการตรวจสอบแบบสุ่มบ้าง ทุกอย่างเป็นไปอย่างเปิดเผย แต่อาจจะมีหลุดรอดไปบ้างโดยที่ตนเองไม่ทราบเพราะข้าวมีจำนวนมาก ดังนั้นจะต้องมีการตรวจสอบว่ามีเจตนาอย่างไร แต่หากมีการระบุว่าเป็นการทุจริต แสดงว่าเป็นเรื่องทางการเมือง