พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีการออกคำสั่ง ม.44 เรื่อง การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำ ภายหลังจากบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด จำกัด ผู้ประกอบการเหมืองแร่ ของออสเตรเลีย เป็นผู้ร่วมทุนใหญ่ของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส ยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหายทางธุรกิจมูลค่า 750 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 30,000 ล้านบาทว่า ขออย่านำคดีรับจำนำข้าวมาเทียบกับเรื่องดังกล่าว เพราะเป็นคนละเรื่องกัน ซึ่งกรณีของบริษัทอัครา รัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติดำเนินการเพราะมีการเรียกร้องจากประชาชน จึงจำเป็นต้องสั่งให้หยุดการทำงานเพื่อให้มีการตรวจสอบให้เกิดความชัดเจนว่ามีผลอะไรหรือไม่
"เป็นคนละเรื่องกัน เพราะคดีจำนำข้าวเป็นเรื่องของการทุจริต แต่กรณีของเหมืองแร่อัครามาจากจากการร้องเรียนของประชาชนในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต ไม่ใช่การให้เลิกกิจการ แต่เป็นการให้หยุดดำเนินการ เพื่อรอกระบวนการตรวจสอบให้ได้ความชัดเจนว่าส่งผลกระทบในด้านต่างๆ หรือไม่"
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนมากกว่า จะได้เงินหรือเสียเงินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะหากไม่ดำเนินการก็จะไม่เกิดความชัดเจน รวมถึงเกิดการเรียกร้องเดินขบวน ขณะที่ส่วนตัวทำตามคำเรียกร้องพอเกิดปัญหากลับให้รัฐบาลรับผิดชอบ จึงมองว่าเป็นคนละเรื่องกับคดีรับจำนำข้าวเพราะจำนำข้าวเป็นเรื่องของการทุจริตจึงขอให้แยกแยะด้วย
อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวยังไม่ได้มีการเรียกร้องใด ๆ เพราะอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาและยังไม่ได้ตัดสินว่าใครผิดหรือถูกแต่หากเป็นเรื่องกฏหมายระหว่างประเทศก็ต้องสู้คดีต่อไป ซึ่งหากมีการใช้มาตรา 44 ส่วนตัวไม่ต้องกลัวอะไรเพราะมาตรา 44 คุ้มครองอยู่แล้ว จึงขอให้แยกแยะว่าส่วนตัวทำเพื่อใคร แต่ยืนยันจะพยายามทำเรื่องนี้อย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดความเรียบร้อย