นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพิ่มบทบัญญัติให้อำนาจคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สามารถสืบค้นข้อมูลของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้าราชการ และประชาชน ผ่านอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดว่า หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองอยู่ โอกาสที่ประชาชนจะเดือดร้อนมีมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ
"แม้กฏหมายจะยกให้เป็นอำนาจของศาลในการอนุญาตหรือไม่อนุญาต แต่ศาลก็ฟังเหตุผลเพียงเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ข้างเดียวเท่านั้น ถ้าศาลเชื่อก็เท่ากับว่า ป.ป.ช.จะมีอำนาจถึง 90 วันที่จะจับผู้ร้ายคนเดียว แต่เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล ดักฟังโทรศัพท์ ดูอีเมลล์ได้เป็นร้อยคน หากมีข้อสงสัยว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย ซึ่งผู้ที่ได้รับอำนาจก็สนุกดี แต่คนถูกละเมิดมันไม่สนุกด้วย" ประธาน กรธ.กล่าว
ส่วนจะเป็นการให้อำนาจซ้ำซ้อนกับที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มีอยู่หรือไม่นั้น นายมีชัย มองว่าไม่ซ้ำซ้อน แต่เท่ากับว่าประชาชนอยู่ตรงกลาง โดยที่ทุกหน่วยงานต่างมีอาวุธกันหมด ถ้าเป็นเช่นนี้ประชาชนก็อยู่ลำบาก และถ้าจะอ้างว่า ป.ป.ช.ควรมีอำนาจเหนือกว่าดีเอสไอตามศักดิ์กฎหมายลูก จะคิดแบบนั้นคงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม กรธ.ยังไม่สามารถพูดตอนนี้ได้ว่าจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายหรือไม่ เพราะต้องรอให้การพิจารณาในชั้น สนช.เสร็จเรียบร้อยก่อน