นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้มีหนังสือนัดประชุม สนช.เป็นพิเศษในวันที่ 25 ม.ค. เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในวาระที่ 2 และ 3 ภายหลังคณะกรรมาธิการวิสามัญที่มีนายวิทยา ผิวผ่อง สมาชิก สนช.เป็นประธานได้พิจารณาเสร็จแล้ว
ทั้งนี้ ในรายงานการประชุมของคณะกมธ.วิสามัญฯ ระบุว่าในมาตรา 2 ว่าด้วยระยะเวลาการให้กฎหมายมีผลบังคับใช้นั้น คณะกมธ.วิสามัญฯ เสียงข้างมากได้แก้ไขให้กฎหมายเลือกตั้งมีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 90 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป แต่กมธ.วิสามัญฯในสัดส่วนของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ประกอบด้วย นายประพันธ์ นัยโกวิท, พล.อ.อัฏฐพร เจริญพานิช และนายเจษฎ์ โทณะวณิก ไม่เห็นด้วย โดยขอให้กลับไปใช้กำหนดเวลาบังคับใช้กฎหมายตามเดิม คือ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน และนายธานี อ่อนละเอียด สมาชิก สนช. ในฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย เสนอให้ใช้บังคับกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อพ้นกำหนด 120 วันนับแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
สำหรับ กรธ.นายทวีศักดิ์ และนายธานี จะขอใช้สิทธิอภิปรายในที่ประชุม สนช.เพื่อให้ที่ประชุมลงมติชี้ขาดต่อไป
ด้านนายทวีศักดิ์ กล่าวว่า สาเหตุที่เสนอ 120 วันเนื่องจากมีกฎหมายหลายฉบับที่ สนช.ออกไป และสุดท้ายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สามารถปฏิบัติตามได้เนื่องจากเวลาไม่เพียงพอ จึงต้องไปขอให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งขยายเวลา ดังนั้น หากคิดจะขยายเวลาร่างกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ก็ควรให้เพียงพอ เพื่อให้พรรคการเมืองต่างๆ เตรียมตัวได้ทัน ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าระยะเวลา 120 วันเป็นเวลาที่เหมาะสมและและไม่ต้องให้ คสช.ใช้อำนาจแก้ปัญหาอีก
"ทั้งที่ความจริงน่าจะขยายเวลาไปถึง 6 เดือน หรือ 180 วัน แต่ก็ยังไม่มีใครเสนอ จึงเอาเพียงแค่ 120 วัน และในการประชุมในวาระ 2 และ 3 ในวันที่ 25 ม.ค. ผมจะอภิปรายความจำเป็นว่าทำไมต้องขยายเวลาออกไป 120 วัน ส่วนสุดท้ายจะใช้ระยะเวลาเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุมสนช." นายทวีศักดิ์ กล่าว
ด้านนายธานี กล่าวว่า เดิมตั้งใจจะขยายเวลาไปถึง 150 วัน ส่วนเหตุผลที่เสนอเวลาไปมากกว่า 90 วันนั้น จะขอไปชี้แจงผ่านการอภิปรายในวาระ 2 และ 3 ในวันที่ 25 ม.ค. เนื่องจากคณะกมธ.วิสามัญฯ ตกลงกันว่าไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแถลงข่าวให้ข้อมูล เพราะเกรงว่าจะเกิดความสับสน