พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการหารือระหว่างนายอันเจลิโน อัลฟาโน (The Honourable Angelino Alfano) รมว.ต่างประเทศและความร่วมมือ สาธารณรัฐอิตาลี และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนไทยว่า การเยือนไทยครั้งนี้เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการเมืองและความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมกับประเทศไทย และนับเป็นการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของ รมต.ต่างประเทศของสมาชิกสหภาพยุโรปประเทศแรกของรัฐบาลปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงความสนใจของอิตาลีที่มีต่อประเทศไทยและต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ในระดับรัฐบาลกับไทย
สำหรับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศต่างแสดงความสนใจที่จะเข้าไปลงทุนซึ่งกันและกัน รมต.ต่างประเทศฯ อิตาลี แสดงความยินดีต่อการจัดตั้งสภาธุรกิจไทย-อิตาลี หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะสามารถพัฒนาต่อยอดความร่วมมือด้านเศรษฐกิจให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
สำหรับการลงทุนนายกรัฐมนตรีย้ำว่าไทยยังคงมีศักยภาพและความพร้อมในการต้อนรับหุ้นส่วนทางธุรกิจจากต่างประเทศ โดยธนาคารโลกได้ปรับสถานะ Ease of Doing Business ของไทยจากอันดับที่ 46 เป็นลำดับ 26 นอกจากนี้ US News ยังจัดให้ไทยเป็นอันดับ 1 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน สำหรับการเป็นประเทศที่เหมาะจะเริ่มธุรกิจ โดยไทยยินดีเป็นศูนย์กลางในการขยายความร่วมมือระหว่างอิตาลีและประเทศอื่นในอาเซียน และอิตาลีสามารถเป็นศูนย์กลางในการขยายความสัมพันธ์และความร่วมมือไปสู่ประเทศสมาชิกอื่นๆของสหภาพยุโรปต่อไปได้
ด้าน รมว.ต่างประเทศฯ อิตาลี ยังแสดงความสนใจที่จะเข้ามาร่วมมือกับไทยในการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อาทิ การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน การวิจัยและพัฒนา เป็นต้น ซึ่งอิตาลีเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ จึงหวังว่าไทยจะพิจารณาอิตาลีเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่จะให้เข้ามาลงทุนใน EEC ซึ่งนายกรัฐมนตรียินดีอย่างยิ่งที่อิตาลีสนใจเข้ามาลงทุนในโครงการนี้ โดยอิตาลีมีนโยบาย Industria 4.0 สอดคล้องกับเศรษฐกิจ 4.0 ของรัฐบาลไทย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีหวังว่า อิตาลีซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบ จะร่วมมือกับไทยในการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ไทยมีความเชี่ยวชาญ โดยขอให้สถานเอกอัครราชทูตของแต่ละประเทศร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อเสริมสร้างให้เกิดความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า การที่ไทยและอิตาลีต่างเป็นจุดมุ่งหมายด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญของโลก จึงหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น โดยสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกัน นอกจากนี้ การที่ทั้งสองฝ่ายได้รื้อฟื้นการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในด้านใหม่ ๆ ระหว่างกัน
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงพัฒนาการทางการเมืองภายในประเทศว่า รัฐบาลไทยยืนยันการดำเนินการตาม Roadmap และการจัดการเลือกตั้ง เพื่อกลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและยั่งยืน พร้อมกล่าวขอบคุณที่อิตาลีให้การสนับสนุนในการปรับข้อมติสหภาพยุโรปต่อไทย ซึ่งจะเป็นการเปิดทางให้มีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการเมืองกับไทยในทุกระดับ
ด้าน รมว.ต่างประเทศฯ อิตาลี กล่าวว่า อิตาลีเข้าใจในสถานการณ์ทางการเมืองของไทยเป็นอย่างดี และยินดีนำข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจของไทยไปชี้แจงต่อรัฐมนตรีต่างประเทศของสมาชิกสหภาพยุโรปอื่นให้ได้รับทราบ