พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ถึงเส้นทางการเลือกตั้งของไทยในช่วงต่อจากนี้ไป โดยระบุว่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกกฎหมายลูก 4 ฉบับ ที่จำเป็นต่อการเลือกตั้ง ได้แก่ 1.กฎหมายลูกว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง 2.กฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมือง 3.กฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ 4.กฎหมายลูกว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ซึ่งกฎหมายลูกใน 2 ฉบับท้ายกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย คือ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อจะพิจารณาในทุกประเด็นที่ยังเห็นไม่ตรงกัน เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ส่วนร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ภายหลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้แล้วในอีก 90 วัน หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา การเลือกตั้งก็อาจจะเกิดขึ้นในเดือนใดก็ได้ภายใน 150 วันหลังจากนั้น ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทุกฝ่าย ทั้งพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้ง และ กกต. ในระหว่างนั้นคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะแจ้ง คสช.ให้เชิญ กกต., กรธ. รวมถึงทุกพรรคการเมืองมาพูดคุยหารือว่าการเลือกตั้งนั้นควรจะเกิดขึ้นเมื่อใด วัน เวลา ที่ทุกฝ่ายพร้อม ทุกฝ่ายเห็นพ้องกันแล้วก็ถือเป็น "วาระสำคัญของชาติ" อาจจะต้องเป็นสัญญาร่วมกันว่า ทำอย่างไรเราจะเดินหน้าประเทศไปให้เป็นไปตาม Roadmap ของประเทศ ให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในอนาคต
"รัฐบาลและ คสช.ไม่เคยมีความคิด และไม่ไปก้าวล่วงอำนาจใด ๆ ที่จะทำให้เกิดการคว่ำร่างกฎหมายต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะรัฐบาลไม่อยากให้กำหนดเวลาคลาดเคลื่อนตามที่มีใครหลายคนพยายามบิดเบือนให้ข้อมูลผิด ๆ ต่อสังคม เว้นอย่างเดียว คือการเกิดความวุ่นวายประชาชนขัดแย้ง ใช้กำลัง ใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรง การหาเสียงมีปัญหา ประชาชนขัดแย้งกันอีก เกิดความไม่สงบเหมือนช่วงก่อนปี 57 อันนั้นก็เป็นอีกเรื่อง ทุกคนต้องช่วยกันอย่าให้เกิดขึ้น" นายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมขอให้ประชาชน นักการเมือง และทุกฝ่ายต้องช่วยกันรักษาบรรยากาศความมีเสถียรภาพของประเทศ ต้องไม่ขัดแย้ง ไม่แบ่งฝ่ายกันอีกต่อไป และต้องสัญญากันว่าหลังการเลือกตั้ง เราจะได้มีฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่จะต้องร่วมมือกัน ทำในสิ่งที่ประเทศชาติและประชาชนทั้งประเทศต้องการ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนที่เป็นฐานเสียงของฝ่ายใดก็ตาม รวมทั้งร่วมกันหรือช่วยกันในการปฏิรูปประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติต่อไป
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเปรียบเทียบการเลือกตั้งว่าเหมือนกับการเลือก "กล้วย" เพราะหากเป็นกล้วยที่เปลือกยังเขียวอยู่ก็ยังไม่สุก ไม่พร้อมจะรับประทาน คุณสมบัติก็ไม่ครบ แต่กล้วยเปลือกสีเหลือง คือสุกงอม กินได้ เหมาะสม หากเป็นกล้วยเปลือกดำแล้ว คือไม่ดี ไม่ควรเลือกกิน พร้อมย้ำว่าการเข้าคูหาเลือกตั้งต้องคำนึงถึงการเลือกนักการเมืองที่มีคุณภาพ ไม่มีประวัติเสื่อมเสียหรือทุจริตมาก่อน เลือกพรรคการเมืองที่น่าเชื่อถือ ดูจากนโยบาย จากการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง หรือถูกครอบงำ
"แก่นสารของเรื่องนี้คือ ทำอย่างไรให้คนไทยสามารถแยกแยะว่า ถ้ามีการเลือกตั้งแล้วควรเลือกใคร และเลือกจากอะไร ไม่ใช่ใช้ความรัก ความชอบ ความคุ้นเคย ใช้อารมณ์ แต่ไม่พิจารณาด้วยเหตุด้วยผล เช่น ดูที่นโยบายพรรค ดูที่ประวัติการทำงานเหล่านี้...อยากให้พี่น้องประชาชน มีความรู้ หลักคิด มีหลักการเลือก ส.ส.ที่มีคุณภาพ หลีกเลี่ยงผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือพรรคที่มีนโยบายในลักษณะสัญญาว่าจะให้ เพื่อดึงดูดใจในสิ่งที่ผิด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นนโยบายที่มีผลต่อการใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินที่สิ้นเปลืองมากเกินไป ขาดวินัยการเงินการคลัง หรือขัดแย้งพันธกรณีต่างประเทศ" นายกรัฐมนตรีกล่าว