พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติตามการเสนอของกระทรวงยุติธรรมที่ขออนุมัติลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงค์ ระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ของไทย กับสำนักงานตำรวจแห่งประเทศเนเธอร์แลนด์ ในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งจะมีกรอบการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานของ 2 ประเทศ โดยเน้นปัญหาการค้ามนุษย์, การลักลอบขนคนเข้าเมือง, การแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก, การฟอกเงิน และการต่อต้านการก่อการร้าย เป็นต้น
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการเพิ่มเติมถึงการดำเนินการกับผู้กระทำผิดที่หลบหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศว่า ตามที่มีหลายคดีในประเทศไทยที่ผู้กระทำผิดหลบหนีไปต่างประเทศและยังไม่สามารถนำตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยได้นั้น ทำให้สังคมเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เอาจริงเอาจังในการนำตัวผู้กระทำผิดกลับมาลงโทษ หรือมองว่ามีการสมยอมกันเกิดขึ้น
ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานอัยการสูงสุด และกระทรวงการต่างประเทศ ไปร่วมกันจัดตั้งคณะกรรมการติดตามผลการดำเนินงานเกี่ยวกับการตามตัวผู้กระทำผิดที่หลบหนีออกนอกประเทศ เพื่อรวบรวมผลการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงาน แล้วชี้แจงให้สังคมได้รับทราบว่าได้ดำเนินการคืบหน้าไปอย่างไร มีปัญหาที่เป็นอุปสรรคทำให้การทำงานติดขัดในส่วนใดบ้าง เพื่อให้สังคมเกิดความเข้าใจว่าทุกหน่วยงานมีความจริงจังกับการติดตามในแต่ละคดี
"นายกฯ สั่งให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อติดตามเรื่องนี้ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับผิดชอบภาพรวม นำผู้ที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานมาแจงให้สังคมทราบว่าหน่วยงานใด ทำเรื่องใดไปแล้วบ้าง มีข้อติดขัดหรืออุปสรรคในขั้นตอนใด เพราะบางเรื่องแม้จะเกี่ยวข้องกับคดีอาญา แต่บางประเทศกลับมองว่าเป็นเรื่องการเมือง ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะต้องอธิบายเหตุผลให้สังคมได้เข้าใจว่าเราตั้งใจทำในส่วนของไทยเต็มที่ตามขั้นตอนแล้ว ส่วนจะได้หรือไม่ ต้องมองในแง่กฎหมายไทย และกฎหมายของประเทศนั้นๆ ด้วย" พล.ท.สรรเสริญระบุ