นายกฯติงกลุ่ม P-Move ระมัดระวังการเคลื่อนไหว ขอให้รอคณะทำงาน คทช.การจัดสรรที่ดินพิจารณา

ข่าวการเมือง Saturday May 5, 2018 11:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" โดยกล่าวถึงการเคลื่อนไหวของ P-Move ว่าเป็นเรื่องที่เราจะต้องแก้ปัญหาให้ต่อไป นำเข้าพิจารณาในคณะทำงานของ คทช. การจัดสรรที่ดิน ได้สั่งการไปหมดแล้ว เพียงแต่หลายคนใจร้อน เร่งรัด อย่างนี้ต้องเข้าใจกติกาของเรา ไม่อย่างนั้นก็ไม่พอหรอกทุกคนต้องการโน่นต้องการนี่กันหมด โดยไม่มีการจัดระเบียบให้ ก็กลับไปที่เดิมหมด นั่นแหละ เหมือนเดิม ก็ต้องเข้าใจกันบ้าง เพราะฉะนั้นบรรดาแกนนำต่าง ๆ ก็ต้องระมัดระวังในการเคลื่อนไหวด้วย ไม่อยากให้มีปัญหาต่อไปในอนาคต รัฐบาลไม่มุ่งหวังที่จะไปปิดกั้นท่านเลย เพียงแต่ว่ารับเข้ามาในการพิจารณาของ คทช.ในการจัดที่ดินด้วย ไม่ใช่จะไปชี้ตรงโน้น ตรงนี้ เอาที่ดินตรงนี้มาเป็นของตัวเอง อันนี้เป็นการทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

กรณีที่สอง คือ "การสร้างบ้านพักตุลาการ" บริเวณเชิงดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานะครับ ผมไม่สบายใจ ทุกคนไม่สบายใจ ครม. ไม่สบายใจ เป็นกังวลใจมาโดยตลอดเพราะมีผลกระทบกับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ผมได้ติดตามข้อมูลข่าวสาร จากหน่วยงานราชการ นักวิชาการและสื่อทุกแขนง ในทุกแง่มุม ทั้งนี้ ไม่ว่าปัญหาจะเกิดจากใคร และเมื่อใดก็ตามผมอยากให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้มั่นใจว่ารัฐบาลและ คสช. จะพยายามทำอย่างเต็มที่ ด้วยความรอบคอบ ก็ขอให้ไว้ใจผม เหมือนที่เคยไว้ใจมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ว่าเราจะต้องหา "ทางออก" ที่ดีที่สุดให้กับประเทศหลายอย่างเกิดขึ้นมาแล้ว เราไปแก้ไขอะไรแบบที่ไม่ระมัดระวังไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศดังที่กล่าวมาแล้ว

ปัจจุบันผมได้มอบหมายให้นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะทำงานเข้าไปพูดคุยหารือ เพื่อหาทางออกร่วมกัน ทราบว่าการพูดคุยในปัจจุบันเป็นไปในทิศทางที่ดี สิ่งแรกที่ผมอยากให้ทำก่อนเลยก็คือการปลูกป่าขึ้นมาก่อน เรื่องอื่นค่อยพูดกัน เจรจาหารือคณะทำงาน ฝ่ายกฎหมายมาดูกัน แต่ข้อสำคัญคืออย่าไปแสดงความรังเกียจ ชิงชังข้าราชการของศาล เพราะข้าราชการเหล่านั้นไม่ได้เป็นคนไปสร้างเอง เป็นเรื่องของนโยบายของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา คราวนี้ต้องมาดูว่าเราจะบริหารจัดการกันได้อย่างไร แต่แน่นอนไม่มีใครไปอยู่ แน่นอนผมก็ยังไม่อนุมัติให้ใครไปอยู่ทั้งสิ้น แล้วลองบริหารจัดการป่าดูว่าจะใช้เวลาในฤดูฝนหน้าจะปลูกป่าขึ้นมาได้หรือไม่ จะทำให้พื้นที่เหล่านั้นเป็นพื้นที่ป่าได้เหมือนเดิมหรือไม่ เรื่องอื่นก็ค่อยเจรจาว่ากันต่อไป อย่าเพิ่งมากดดันกันเห็นบอกจะมีการเคลื่อนไหวกันอีก ผมขอร้องไม่เช่นงั้นจะวุ่นวายไปทั้งประเทศ ก็มีคนมาฉวยประโยชน์เข้าไปอีก

ส่วนการเคลื่อนไหวต่าง ๆ นั้น ผมอยากให้พวกเรานั้นปรับเปลี่ยนทัศนคติ มาสู่การแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีไม่ใช่ในเชิงกดดันกันไปกันมา แล้วก็ทำไม่ได้อยู่ดี เพราะว่าการชุมนุมเพื่อเรียกร้องขอที่ดินเราก็ดำเนินการอยู่ ถ้าไปกดดันมาก ๆ ก็ทำไมได้อยู่ดี ทุกคนก็ต้องการมาก ต้องการมากที่สุด บางครั้งก็ต้องฟังเหตุผลกันบ้าง ที่ผ่านมานั้นเราคงคุ้นเคยการทำงานของบรรดาสมาชิกหรือ สส. ในสภาฯ ที่แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายคือ "ฝ่ายรัฐบาล กับ ฝ่ายค้าน" ซึ่งต่างก็ทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองเหมือนกัน เรามักจะเรียกว่า "ฝ่ายค้าน" กับ "ฝ่ายรัฐบาล" ทำไมเราไม่ลองเรียกดู ว่าในทางปฏิบัติก็เรียกว่าฝ่ายหนึ่งคือ "ฝ่ายรัฐบาล" อีกฝ่ายหนึ่งคือ "ฝ่ายค้านและสนับสนุน" ฝ่ายค้านก็คือว่ามีการตรวจสอบมีการทักท้วง แต่เรื่องใดก็ตามที่เป็นยุทธศาสตร์ชาติ เป็นนโยบายที่มีการปฏิรูป อันนี้ต้องสนับสนุนกัน ไม่อย่างนั้นก็ล้มกันไปหมด ก็เลยทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างประเทศชาติก็ไม่มีแนวทางในการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน อาจเปลี่ยนชื่อไม่ได้แต่ผมอยากให้สร้างความรู้สึกใหม่ๆขึ้นมา เรียกว่าฝ่ายรัฐบาล อีกฝ่ายก็ ฝ่ายค้านและสนับสนุน เพื่อจะได้มีการตรวจสอบด้วย ไม่อยากให้ค้านกันไปกันมาทุกเรื่อง ค้านก็เพื่อเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลในสิ่งที่มันควรจะเป็น "ติเพื่อก่อ" มีข้อเสนอแนะบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้งเพื่อสนับสนุนให้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ไม่ว่าจะจากพรรคใดก็ไม่สำคัญ แต่ต้องมี "ธรรมาภิบาล" มีโครงการ มีแผนงาน มีนโยบายที่ถูกต้อง เหมาะสม ถ้าหากเป็นเช่นนั้นได้ เราก็จะเป็นการสร้างวัฒนธรรม "การปรองดอง" ที่ไม่ใช่การเอาชนะ คัดค้านกัน เหมือน "การโต้วาที" ที่มุ่งเป้าหมายของตัวเองเป็นหลัก โจมตีกันไป กันมา แล้วก็ปิดทุกประตูทางออกปฏิเสธทุกข้อเสนอ ทุกความเห็นต่าง เหมือนพยายามผลักปัญหาเข้าสู่ "ทางตัน" สุดท้ายแล้วประเทศชาติและเราทุกคน ก็เป็นผู้เสียหาย

ดังนั้น คืนนี้ผมจึงขอฝากให้ช่วยกันพิจารณาการสร้างวัฒนธรรมการปรองดองนี้เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานใหม่กับสังคมไทย ไม่ได้หมายความว่าปรองดองเพื่อหาประโยชน์ร่วมกันอีกจะต้องทำให้เกิดธรรมาภิบาลให้ได้ อยู่ที่พวกเราทุกคน ให้เราสามารถบริหารความขัดแย้งได้ ด้วยเหตุด้วยผลด้วยกฎหมายปกติที่มีอยู่แล้ว หาจุดลงตัวให้ได้ บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ใช้นิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ร่วมกันในการพิจารณาหาทางออกซึ่งเป็น "ศาสตร์พระราชา" ที่พระราชทานไว้ให้เป็นมรดกอันล้ำค่าของชาติ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ