"อนุสรณ์" มองคสช.บริหารปท. 4 ปียังไม่บรรลุเป้าหมายหลังมีปัญหาความไม่เป็นธรรมทางศก.-สังค

ข่าวการเมือง Sunday May 20, 2018 16:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า การบริหารงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในช่วง 4 ปีนั้นพบว่าปัญหาความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม การปิดกั้นเสรีภาพและการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน การรวมศูนย์อำนาจมากเกินไปเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การทำงานต่างๆของรัฐบาลไม่บรรลุเป้าหมาย การกระจายอำนาจ กระจายโอกาส การเปิดกว้างให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงจะช่วยให้การแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้น นอกจากนี้ ผลงานต่างๆและการปฏิรูปด้านต่าง ๆอาจมีความก้าวหน้ามากขึ้น หากคสช.ไม่คิดสืบทอดอำนาจและหาทุนจัดตั้งพรรคการเมืองหรือใช้อำนาจหรือผลประโยชน์ในการดูดกลุ่มการเมืองให้สนับสนุนตัวเองหลังการเลือกตั้ง

"การไม่สืบทอดอำนาจจะทำให้ รัฐบาล คสช. เป็นอิสระจากการเสพติดอำนาจและผลประโยชน์และสามารถใช้เวลาไปกับการแก้ปัญหาให้บ้านเมืองและการปฏิรูปมากขึ้น สามารถเอาเวลาและเอาทรัพยากรที่มีอยู่ไปนั่งพิจารณาว่าควรเร่งรัดการปฏิรูปอะไรบ้างด้วยการกำหนดวาระและกรอบเวลาให้ชัดเจน เปลี่ยนการปฏิรูปในเอกสารมาเป็นการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรมและจับต้องได้ การดำเนินการไม่ควรล่วงเลยเกินกว่าเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าตามที่สัญญาเอาไว้ และส่งมอบภารกิจให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งต่อไป การไม่สืบทอดอำนาจจะช่วยลดความขัดแย้งก่อนและหลังเลือกตั้งจากการเผชิญหน้าของแนวร่วมประชาธิปไตย และแนวร่วม คสช. ควรปล่อยให้การเลือกตั้งเป็นกลไกในการสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างแท้จริง บ้านเมืองจะได้กลับคืนสู่ประชาธิปไตย กลับคืนเข้าสู่ภาวะปกติ รวมทั้งเป็นการลดความเสี่ยงของประเทศในการเดินเข้าสู่วิกฤตการณ์การเมืองรอบใหม่ และหลีกเลี่ยงกับดักทางการเมืองอันเป็นต้นทุนและอุปสรรคต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิตของประชาชนและภาคการลงทุน"นายอนุสรณ์ กล่าว

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศจะสามารถดำเนินการภายใต้ความต้องการของประชาชนผ่านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ รัฐบาล คสช. ควรเปิดกว้างให้มีสิทธิเสรีภาพ กระบวนการสานเสวนา และ วางตัวเป็นกลางและเป็นธรรม หลีกเลี่ยงการเป็นคู่ความขัดแย้ง เลิกกดทับโดยใช้อำนาจเพื่อยุติการวิพากษ์วิจารณ์เพราะไม่ได้ช่วยทำให้ความขัดแย้งลดลงแต่อย่างใด

แม้นว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยภาพรวมยังคงกระเตื้องขึ้นต่อเนื่อง แต่อัตราการเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนตลอดสี่ปีที่ผ่านมาและมีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ที่ 1% ในปี 2557 มาอยู่ที่ 3.9% ในปี 2560 โดยคาดการณ์ว่าปีนี้เศรษฐกิจอาจจะเติบโตได้มากกว่า 4% โครงสร้างการผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองเข้มแข็งมากขึ้นทำให้การกระจายตัวของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมายังประชาชนและกิจการขนาดเล็กขนาดกลางมีข้อจำกัดและอุปสรรค ทำให้เกิดสภาวะความเป็นไม่ธรรมโดยทั่วไป ผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ดีขึ้นโดยภาพรวมแต่กิจการขนาดย่อยยังประสบปัญหา ประชาชนฐานรากยังคงเผชิญความยากลำบากทางเศรษฐกิจและการดำรงชีวิต เนื้อหาบางส่วนของรัฐธรรมนูญ เพิ่มอำนาจรัฐ ลดทอนอำนาจประชาชน การกระจายอำนาจถดถอยลง และการบริหารงานแบบขาดการมีส่วนร่วมและการสั่งการจากบนลงล่างตลอดระยะสี่ปีที่ผ่านมา จะไม่สามารถแก้ไขปัญหารวยกระจุก จนกระจายได้ ส่วนภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกและการขยายตัวมากขึ้นของปริมาณการค้าโลก

ด้านฐานะทางการคลัง รัฐบาลได้ก่อหนี้มากขึ้นทุกปี ขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น ในปี 2558 ทำขาดดุลงบประมาณ 2.5 แสนล้านบาท และในปี 2561 ขาดดุลงบประมาณ 4.5 แสนล้านบาท รัฐบาลไม่สามารถกลับคืนสู่งบประมาณสมดุลได้ตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังในปี 2560 และในปี 2558-2561 รัฐบาล คสช.ยังทำขาดดุลงบประมาณโดยรวมสูงถึง 16.4 ล้านล้านบาท หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โครงการลงทุนต่างๆไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจตามเป้าหมาย มีความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะเผชิญกับวิกฤติฐานะทางการคลังในระยะ 2-3 ปีข้างหน้าและปริมาณหนี้สาธารณะสะสมคงค้างอาจแตะระดับ 7 ล้านล้านบาทได้ในอนาคต

ขณะที่ระบบเศรษฐกิจของประเทศถูกครอบงำโดยกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่พร้อมอิทธิพลของกลุ่มทุนข้ามชาติเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลจึงควรเร่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยโดยเฉพาะกิจการขนาดเล็กและขนาดกลางให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความสมดุลทางเศรษฐกิจ การลงทุนภาครัฐฟื้นตัวชัดเจนในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาแต่การทุจริตรั่วไหลจากการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐยังไม่ได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด ผลบวกของการลงทุนภาครัฐต่อเศรษฐกิจโดยรวมจึงไม่เกิดขึ้นอย่างเต็มศักยภาพ

การลงทุนและการบริโภคภาคเอกชนกระเตื้องขึ้น การบริโภคภาคเอกชนเติบโตแบบกระจุกตัวสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ระหว่างผู้มีรายได้สูงและผู้มีรายได้ต่ำ ภาคการบริโภคยังขยายต่ำเพราะสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นจากระดับ 76.88% ช่วงกลางปี 2557 มาอยู่ที่ระดับ 77.5% ในปี 2560 แต่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2558 ที่ระดับ 81.2% ที่หนี้ครัวเรือนแตะระดับสูงสุด รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักจึงไม่เพียงพอต่อรายจ่ายนำมาสู่การก่อหนี้ ยอดรวมหนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นจากระดับ 10.13 ล้านล้านบาทมาอยู่ที่ 11.97 ล้านล้านบาท หลังการยึดอำนาจสี่ปี ยอดหนี้ครัวเรือนคงค้างสะสมเพิ่มขึ้นประมาณ 4.93 แสนล้านบาท สะท้อนว่าภาระหนี้ครัวเรือนสะสมยังอยู่ในระดับสูงและเพิ่มต่อเนื่อง แม้นสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อจีดีพีจะเริ่มลดลงแล้วก็ตาม ปัญหาหนี้ครัวเรือนจึงเป็นโจทย์เรื่องการกระจายตัวของรายได้และความมั่งคั่งมากกว่าปัญหาการไม่มีวินัยทางการเงินและก่อหนี้เกินตัวหรือความไม่สามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ฉะนั้นต้องมุ่งไปที่ทำอย่างไรให้การเติบโตทางเศรษฐกิจมีการกระจายตัวมากกว่านี้ โดยมองว่าภาคการลงทุนเอกชนจะฟื้นตัวชัดเจนเมื่อกลับคืนสู่ประชาธิปไตยด้วยความเรียบร้อยและได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพและมีคุณภาพ

การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เขตเศรษฐกิจพิเศษ ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะเป็นเครื่องยนต์สำคัญช่วยขับเคลื่อนการเติบโตและความสามารถในการแข่งขันของไทย แต่ พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกนั้นมีอำนาจซ้อนทับกับกฎหมายอื่น เช่น การจัดทำผังเมือง อำนาจจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินในภาพรวม ในกฎหมายยังเขียนด้วยว่า คณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ สามารถพิจารณาอนุมัติหรืออนุญาตหรือให้ความเห็นชอบแทนหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจตามกฎหมายได้ จึงต้องใช้อำนาจพิเศษนี้อย่างระมัดระวังและยึดหลักธรรมาภิบาลในการตัดสินใจ

ส่วนภาคส่งออกที่เคยติดลบต่อเนื่องฟื้นตัวขึ้นในปีที่สามหลังการยึดอำนาจและในปีที่สี่ภาคส่งออกยังขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอันเป็นผลจากปัจจัยภายนอกเป็นด้านหลัก เสถียรภาพทางเศรษฐกิจภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อต่ำแต่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในครึ่งหลังของปีนี้ อัตราการว่างงานต่ำกว่า 1% มาโดยตลอดแต่มีสัญญาณว่าอัตราการว่างงานอาจปรับตัวสูงขึ้นในระยะต่อไปโดยอัตราการว่างงานล่าสุดในไตรมาสแรกปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.3% มีคนว่างงานเพิ่มขึ้น 500,000 คนและมีการลดชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา การว่างงานเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างการผลิตโดยสถานประกอบการนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีมาใช้แทนแรงงานคนเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลควรเตรียมการรับมือผลกระทบของเทคโนโลยีต่อตลาดแรงงาน

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 อาจสร้างปัญหาความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งและทำให้สถาบันพรรคการเมืองอ่อนแอ ทำให้การเลือกตั้งขึ้นอยู่กับความนิยมในตัวบุคคลมากกว่านโยบาย ระบบการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญ คสช.ไม่สามารถสะท้อนความต้องการของประชาชนได้ การรัฐประหารในปี 2557 เป็นความต่อเนื่องของรัฐประหารปี 2549 เป็นการต่อสู้กันระหว่างพลังอำนาจที่อิงระบบพรรคการเมืองและการเลือกตั้ง กับ พลังอำนาจที่ไม่เชื่อในระบบเลือกตั้ง ทำอย่างไรที่จะทำให้การแข่งขันเชิงอำนาจอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่สูญเสียหลักการประชาธิปไตยและความมั่นคงของระบบการเมืองอันเป็นพื้นฐานสำคัญต่อความเจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ สังคมสันติธรรม และคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งคืนความเป็นธรรมให้กับทุกคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ความอยุติธรรมหรือการถูกเลือกปฏิบัติจากโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมต้องได้รับการแก้ไข สร้างโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเท่าเทียม ลดปัญหาสองมาตรฐานในระบบยุติธรรมไทย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ