ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ให้นายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ กทม.เป็นเงินกว่า 1.43 พันล้านบาท จากการดำเนินโครงการจัดซื้อรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย เนื่องจากไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำสัญญา จึงเป็นเรื่องที่ กทม.ต้องรับผิดชอบเอง
"ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษาเพิกถอนคำสั่งที่ให้ผู้ฟ้องคดี (นายโภคินฯ) ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (กทม.) จำนวน 1,434,463,937.07 บาท โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่มีคำสั่งดังกล่าว" คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ระบุ
โดยศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โครงการจัดซื้อรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยของ กทม.เริ่มมาเมื่อครั้งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐออสเตรียประจำประเทศไทยเข้าเสนอโครงการในลักษณะรัฐต่อรัฐตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.46 ต่อมาเมื่อนายโภคินฯ เข้ารับตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ผู้ว่าฯ กทม.ได้มีหนังสือลงวันที่ 12 ต.ค.47 แจ้งถึงกระบวนการจัดซื้อดังกล่าวอาจดำเนินการมาโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และแจ้งให้ทราบว่ามีผู้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ดำเนินการสืบสวนสอบสวนการจัดซื้อดังกล่าว
ดังนั้น ด้วยอำนาจหน้าที่ของนายโภคินฯ ในขณะที่ดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ต้องควบคุมดูแลการปฏิบัติราชการของ กทม.ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เมื่อพบหรือมีเหตุอันควรสงสัยองค์กรที่อยู่ใต้การควบคุมดูแลว่าอาจมีการบริหารงานที่ส่อไปในทางที่ไม่สุจริตและอาจทำให้เกิดความเสียหายหรือเสียประโยชน์อย่างใดๆ แล้ว นายโภคินฯ ย่อมมีอำนาจที่จะดำเนินการสั่งให้มีการตรวจสอบสอบสวนเรื่องราวตลอดจนข้อเท็จจริงที่ผ่านมาว่าได้ดำเนินการถูกต้องและชอบด้วยระเบียบกฎหมายหรือไม่ แต่นายโภคินฯ ได้กระทำเช่นนั้นไม่ จึงเป็นการไม่ดำเนินการควบคุมดูแลการบริหารราชการของ กทม.ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ตามมาตรา 123 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 อันถือได้ว่าเป็นการละเลยหรืองดเว้นการกระทำตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อความตามหนังสือลงวันที่ 5 พ.ย.47 ที่นายโภคินฯ มีถึง กทม.ว่า "ควรดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขใน Agreement of Understanding (A.O.U.)" นั้น มิได้มีลักษณะเป็นการสั่งการให้ดำเนินการ คงเป็นเพียงการแจ้งตอบข้อหารือและให้ความเห็นประกอบ เนื่องจากผู้ฟ้องคดีมีอำนาจหน้าที่เพียงควบคุมกำกับดูแลการบริหารราชการของ กทม.เท่านั้น ไม่มีอำนาจสั่งยกเลิกเพิกถอนนิติกรรมใดๆ อันเป็นอำนาจโดยตรงของผู้ว่าฯ กทม.ได้ ดังนั้นหาก ผู้ว่าฯ กทม.ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของนายโภคินฯ กทม.ก็ชอบที่จะใช้ดุลพินิจเป็นอย่างอื่นได้
ซึ่งข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่า ภายหลังจากที่ผู้ว่าฯ กทม.ได้รับหนังสือลงวันที่ 5 พ.ย.47 แล้ว ผู้ว่าฯ กทม.ก็ไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของนายโภคินฯ โดยการเปิด L/C ให้แก่บริษัท สไตเออร์ เดมเลอร์ พุค สเปเชียล ฟาห์รซอยก์ จำกัด ทันที แต่ผู้ว่าฯ กทม.ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาทบทวนรายละเอียดการจัดซื้อรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์ดังกล่าวอีกครั้ง จึงเห็นได้ว่า กทม.และผู้ว่าฯ กทม.ไม่จำต้องปฏิบัติตามหนังสือของนายโภคินฯ และสามารถเจรจาต่อรองหรือขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาได้ หากเห็นว่าไม่ชอบธรรม
ส่วนการที่ผู้ว่าฯ กทม.ได้เปิด L/C ให้แก่บริษัท สไตเออร์ฯ เมื่อวันที่ 10 ม.ค.48 และ กทม.ได้ชำระค่าสินค้าในงวดที่ 1 ถึงงวดที่ 9 ให้แก่บริษัท สไตเออร์ฯ ตามข้อตกลงซื้อขายก็เนื่องจาก รมช.มหาดไทย ได้มีหนังสือลงวันที่ 16 ธ.ค.47 แจ้งให้ผู้ว่าฯ กทม.ดำเนินการเปิด L/C ให้แก่บริษัท สไตเออร์ฯ โดยทันที จึงเห็นได้ว่าการเปิด L/C ของผู้ว่าฯ กทม.มิได้เป็นผลโดยตรงมาจากการตอบหนังสือข้อหารือของนายโภคินฯ
ดังนั้นความเสียหายที่ กทม.ได้รับจากการดำเนินการเปิด L/C ให้แก่บริษัท สไตเออร์ฯ จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นผลโดยตรงมาจากการที่นายโภคินฯ ละเลยต่อหน้าที่ในการกำกับดูแล กทม.เช่นกัน นายโภคินฯ จึงไม่ได้กระทำละเมิดต่อ กทม.และไม่ต้องรับผิดจากการที่ กทม.ต้องชำระราคารถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย ในงวดที่ 1 ถึงงวดที่ 9 รวมทั้งความเสียหายอื่นๆ เนื่องจาก กทม.ได้รับรู้รับทราบและรับที่จะดำเนินการเองมาตั้งแต่ต้น และนายโภคินฯ เองก็ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้องในการทำสัญญาหรือตกลงในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งของสัญญา และเป็นเรื่องที่ กทม.ต้องรับผิดตามสัญญาเป็นการเฉพาะ