ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ออกหมายจับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีร่วมทุจริตการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย (KTB) ให้กับบริษัทในเครือ บมจ.กฤษดามหานคร (KMC) เนื่องจากไม่ได้เดินทางมาศาลตามนัด
โดยองค์คณะผู้พิพากษาพิจารณาแล้วเห็นว่า นายทักษิณ จำเลยที่ 1 ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่เดินทางมาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ถือว่ามีพฤติการณ์หลบหนีจึงให้ออกหมายจับตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560มาตรา 28 พร้อมให้โจทก์รายงานผลการจับกุมให้ศาลรับทราบทุกเดือน ส่วนที่จำเลยไม่มาศาลในการพิจารณาครั้งแรกให้ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา33 จึงให้นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 26 กันยายน 2561 เวลา 13.30 น.โดยให้โจทก์ยื่นบัญชีพยานหลักฐานก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานก่อนวันนัด 14 วัน และให้ส่งหมายแจ้งให้จำเลยทราบ
ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯ ได้นัดพิจารณาคดีครั้งแรกในคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณในคดีร่วมทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่ม KMC ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้รับมอบอำนาจจากอัยการสูงสุดให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯ ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อจากคดีคดีร่วมทุจริตการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้กับกลุ่มบริษัท KMC ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณกับพวกรวม 27 คนเป็นจำเลย เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2555 และศาลมีคำพิพากษาจำคุกจำเลยอื่นในส่วนที่เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่นายทักษิณหลบหนีไป โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้านายทักษิณตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 28 ที่บัญญัติสาระสำคัญว่า ในกรณีที่ศาลประทับรับฟ้องไว้ตามมาตรา 27 เมื่อศาลได้ส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยทราบโดยชอบแล้วแต่จำเลยไม่มาศาล ให้ศาลออกหมายจับจำเลยและให้ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องติดตามหรือจับกุมจำเลย รายงานผลการติดตามจับกุมเป็นระยะตามที่ศาลกำหนด แต่ถ้าไม่สามารถจับจำเลยได้ภายในสามเดือนนับแต่ออกหมายจับ ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะตั้งทนายความมาดำเนินการแทนตนได้ และไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะมาต่อสู้คดี
ทั้งนี้อัยการโจทก์เดินทางมาศาล ส่วนฝ่ายจำเลยไม่มีผู้ใดเดินทางมา สำหรับหมายจับดังกล่าวถือเป็นคดีที่สองต่อจากคดีที่นายทักษิณออกกฎหมายแปลงสัญญาค่าสัมปทานโทรคมนาคมและมือถือเป็นภาษีสรรพสามิต