ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ออกหมายจับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ผู้เข้าเป็นคู่ความแทนเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการกรณีให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงก์) ปล่อยกู้ให้กับรัฐบาลเมียนมา เนื่องจากผิดนัดไม่เดินทางมาศาลในการพิจารณาครั้งแรก
องค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่า นายทักษิณ ไม่เดินทางมาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือแจ้งเลื่อน มีพฤติการณ์ควรเชื่อว่าหลบหนี จึงให้ออกหมายจับกำหนดไว้ 3 เดือน หากไม่สามารถจับกุมได้ ศาลมีอำนาจให้ดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีโดยไม่ต้องทำต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยในการต่อสู้คดี และให้โจทก์ติดตามผลการจับกุมพร้อมรายงานให้ศาลรับทราบ
ส่วนที่จำเลยไม่มาศาลในการพิจารณาครั้งแรกให้ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ จึงให้นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 31 ต.ค.61 โดยให้โจทก์ยื่นบัญชีพยานหลักฐานก่อนวันนัดไต่สวนไม่น้อยกว่า 14 วัน และให้ส่งหมายแจ้งให้จำเลยทราบ หากไม่มีผู้รับให้ปิดหมายต่อไป
คดีนี้สืบเนื่องจากเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ให้รัฐบาลเมียนมาวงเงิน 4,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยในอัตรา 3% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่าราคาต้นทุนของเอ็กซิมแบงก์ โดยยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 30 ก.ค.51 ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ก.ย.61 ศาลฎีกาฯ นัดพิจารณาครั้งแรก แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ (ยศขณะนั้น) ไม่มาศาลตามนัด จึงให้จำหน่ายคดีชั่วคราวและออกหมายจับ
ต่อมาหลัง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 29 ก.ย.60 ทำให้คดีที่จำเลยหลบหนีการพิจารณาคดีของศาลฎีกาฯ สามารถนำกลับมารื้อฟื้นพิจารณาต่อไปได้ลับหลังจำเลย
สำหรับคดีนี้เป็นการออกหมายจับที่ 4 ของนายทักษิณ โดยก่อนหน้านี้มีการออกหมายจับในคดีออกกฎหมายแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมและมือถือเป็นภาษีสรรสามิต, คดีร่วมทุจริตการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยฯ กับกลุ่มกฤษดามหานคร และคดีอนุมัติให้กระทรวงการคลังเข้าไปเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ.ทีพีไอ