พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีมีสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอแก้กฎหมายคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า ตนเองไม่เคยไปแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระ และให้เกียรติ กกต.ชุดใหม่ในการทำงานต่อไป โดย กกต.ชุดเก่าก็ต้องส่งมอบหน้าที่ จึงอยากให้ กกต.ชุดใหม่และชุดเก่าได้พูดคุยกัน
"ไม่ได้เป็นการเสนอแก้กฎหมายเพื่อล้มผู้ตรวจการเลือกตั้ง แต่ต้องการให้ กกต.ชุดเก่า และชุดใหม่ได้มีส่วนร่วมในการคัดสรรร่วมกัน"
ส่วนกรณีที่พรรครวมพลังประชาชาติไทยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เตรียมทำกิจกรรมขบวนคาราวานเดินสายปราศัย เพื่อรวบรวมสมาชิกพรรคและประชุมสมัชชาใหญ่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่อยากจะตอบโต้กับกลุ่มใดเป็นพิเศษ แต่ตามหลักการแล้ว หากมีการทำกิจกรรมทางการเมืองก็ต้องมีการขออนุญาตจาก คสช.ก่อน โดยต้องคำนึงถึงเรื่องความสงบสุขของบ้านเมือง
ที่ผ่านมารัฐบาลได้ผ่อนผันการทำกิจกรรมให้ทุกกลุ่มการเมืองมาโดยตลอด และไม่อยากให้มีผลกระทบ โดยเฉพาะเรื่องการสร้างความวุ่นวาย ส่วนจะทำกิจกรรมทางการเมืองเต็มรูปแบบนั้นต้องรอกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก 2 ฉบับได้รับโปรดเกล้าฯ ลงมาก่อน และ คสช.ก็จะคลายล็อคให้ ดังนั้นขอให้รอเวลาอีกเล็กน้อย
ส่วนการดำเนินการทางการเมือง หากใครอยากพูดไรก็ขอให้พูดไป แต่ขอให้เป็นไปตามกติกาของ คสช. และยืนยันไม่เอื้อประโยชน์ให้ใคร และขณะนี้ยังไม่พบความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เป็นที่น่ากังวล
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีไม่ขอวิจารณ์กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาประเมินสถานการณ์การเมืองจะเข้าสู่ยุคสามก๊ก ที่มีทั้งกลุ่มนายทักษิณ ชินวัตร, คสช. และพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมย้อนถามว่า คสช.เกี่ยวข้องอะไรด้วย เพราะตนเองไม่ยุ่งกับใคร ส่วนจะมองแบบไหนก็มองได้ แต่ขอให้มองด้วยความเป็นธรรม มองจากอดีตมาถึงปัจจุบัน และอนาคต ว่าการเมืองไทยจะเดินไปอย่างไร การเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ประชาชนมีความเข้าใจในการเลือกตั้งดีขึ้นหรือไม่ ไม่ใช่แต่จะรณรงค์ เพียงแต่การเลือกตั้งเท่านั้น
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวขอโทษสื่อมวลชนที่แสดงอาการหงุดหงิดในการตอบคำถามเมื่อวานนี้ ส่วนหนึ่งเพราะตนเองกังวลในเรื่องของสถานการณ์น้ำ ซึ่งสั่งการไปเยอะมาก แต่บางครั้งตนเองก็รับกับคำถามของสื่อไม่ได้
ส่วนความคืบหน้าการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีนั้นเป็นเรื่องที่ทางกระทรวงกลาโหมพิจารณา โดยมีคณะกรรมการพิจารณาที่มาจากผู้บัญาการเหล่าทัพ และปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งการพิจารณาจากความอาวุโส ความรู้ความสามารถ ประวัติการทำงาน และความความเหมาะสม และพิจารณาอย่างเป็นธรรม ไม่ได้พิจารณาว่ามีความสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ จึงอยากให้เลิกพูดถึงเรื่องนี้ และขอให้ติดตามผลการพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายในครั้งนี้ เพราะทหารยังถือเป็นหัวใจหลักในงานด้านความมั่นคง
นายกรัฐมนตรี ย้ำถึงความสำคัญของการมีพลทหารว่ายังมีความสำคัญ เพราะถ้าหากไม่มีทหารหรือพลทหารก็ไม่มีใครมาช่วยแก้ไขปัญหาในยามที่เกิดวิกฤตต่างๆ เนื่องจากหน่ายงานอื่นๆ อาจจะมีกำลังพลที่ไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องใช้กำลังพลเข้ามาช่วยเหลือ