ตัวแทน 5 พรรคการเมืองงัดนโยบายเศรษฐกิจร่วมดีเบตโค้งสุดท้ายเลือกตั้ง 50 ในงาน "วัดกึ๋นเศรษฐกิจ พรรคไหน ใช่เลย" โดยย้ำความมั่นใจนโยบายเศรษฐกิจเห็นผลทำได้จริง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ยืนยันว่า นโยบาย 99 วันทำได้จริงที่พรรคชูเป็นนโยบายหาเสียงนั้น สามารถทำได้จริงแน่นอน โดยเฉพาะนโยบายเรียนฟรีจนถึงมัธยมปลายซึ่งคาดว่าต้องใช้งบประมาณ 40,000 ล้านบาท ส่วนที่หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำได้นั้นขอยืนยันว่าสามารถหาเงินจำนวนนี้มาได้อย่างแน่นอน และจะเริ่มได้ตั้งแต่ปีการศึกษา 51 โดยระบุว่าเพียงแค่ลดการคอรัปชั่นให้ได้อย่างน้อย 5-6% ก็จะมีเงินมาใช้ในส่วนนี้ได้แล้ว
ขณะที่ นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน(พด.) ยืนยันถึงนโยบายกองทุนหมู่บ้านโดยให้ทุนประเดิมหมู่บ้านละ 1 ล้านบาทนั้นสามารถทำได้ทันทีถ้าได้เป็นรัฐบาล โดยระบุว่าเม็ดเงิน 80,000 ล้านบาทจะสามารถลงไปได้ทันทีใน 1 เดือนแรก เนื่องจากพรรคเตรียมงบประมาณในส่วนนี้ไว้แล้ว และยืนยันว่านโยบายดังกล่าวไม่ใช่การสร้างหนี้ แต่เป็นการกระจายรายได้และสร้างโอกาสให้ประชาชนเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจฐานรากหมุนเวียนได้ดีขึ้น
ด้าน ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคชาติไทย(ชท.) ให้ความมั่นใจกับนโยบายเพิ่มการลงทุนในประเทศ สร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจว่าสามารถทำได้จริง โดยระบุว่าภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้รัฐบาลจะต้องเป็นแกนนำในการลงทุนก่อน ซึ่งเห็นโอกาสเป็นอย่างมากเพราะรัฐบาลชุดนี้ได้อนุมัติโครงการที่สำคัญไว้แล้วโดยเฉพาะโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า ซึ่งหากพรรคได้เข้ามาเป็นรัฐบาลยืนยันว่าจะสานต่อนโยบายนี้เพื่อให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนตามมา
พร้อมระบุว่า ถ้าหากพรรคเห็นว่าเป็นโครงการที่ดีก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งแยกว่าเป็นนโยบายของรัฐบาลชุดไหน การสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนเป็นสิ่งจำเป็น เพราะเศรษฐกิจในปีหน้าคงไม่สามารถหวังพึ่งพาจากการส่งออกได้แล้ว ดังนั้นจำเป็นต้องทำเศรษฐกิจภายในประเทศให้ดีเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ
ส่วน นายเกษมสันต์ วีระกุล รองหัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา(รช.) เชื่อมั่นว่า นโยบายปรับปรุงโครงสร้างภาษี ลดหย่อนภาษี และรัฐสวัสดิการนั้น จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศระยะสั้นในระหว่างที่รอโครงการลงทุนขนาดใหญ่ยังไม่แล้วเสร็จ เพราะว่าโครงการขนาดใหญ่จะแล้วเสร็จอาจกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นไม่ทัน
ดังนั้นในระยะสั้นนี้จำเป็นต้องลดภาษีให้กับ 3 กลุ่มหลัก คือ ประชาชน กลุ่มธุรกิจ SMEs และโชว์ห่วย และแม้จะยอมรับว่านโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบให้รัฐต้องเสียรายได้จากการลดภาษีและเพิ่มวงเงินหักค่าลดหย่อนรวมแล้วถึง 3.7 หมื่นล้านบาทนั้น แต่เม็ดเงินดังกล่าวไม่ได้หายไปไหนเพียงแต่ไปอยู่ในกระเป๋าของคน 3 กลุ่มดังกล่าว ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้มีเงินกลับมาใช้จ่ายและกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ โดยเชื่อว่าจะช่วยให้ปีหน้า GDP โตได้ไม่ต่ำกว่า 5%
และ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชาชน(พปช.) ยืนยันนโยบายเพิ่มรายได้ 4 เท่า และลดรายจ่าย 4 เท่าทำได้จริง โดยการเพิ่มรายได้จะเน้นรายได้จากภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยวเป็นหลักที่คาดว่าสร้างรายได้เข้าประเทศถึง 3.5 แสนล้านบาท ส่วนการลดรายจ่ายจะเน้นการลดรายจ่ายด้านพลังงานด้วยการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่มีราคาถูก
นอกจากนี้เสนอให้มีการจัดตั้งทีมประเทศไทยเพื่อออกไปเจรจากับนักลงทุนต่างประเทศเพื่อเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจ การเงิน และอุตสาหกรรมในระดับชาติ โดยใช้ประโยชน์จากการที่ไทยมีความได้เปรียบจากการเป็นประตูสู่อาเซียน
--อินโฟเควสท์ โดย กษมาพร กิตติสัมพันธ์/ธนวัฏ โทร.0-2253-5050 ต่อ 325 อีเมล์: tanawat@infoquest.co.th--