พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานเปิดอาคารคลินิกหมอครอบครัว (PCC : Primary Care Cluster) โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ สาขาคลองศาลา ซึ่งเป็นคลินิกหมอครอบครัวแห่งแรกของประเทศไทยที่เปิดบริการอย่างเป็นทางการและได้รับงบประมาณอาคารตามนโยบายคลินิกหมอครอบครัว
โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ปฏิรูประบบปฐมภูมิและคลินิกหมอครอบครัว เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการปฐมภูมิหรือบริการขั้นพื้นฐานที่คลินิกหมอครอบครัวใกล้บ้าน ได้รับบริการสะดวก รวดเร็ว ลดความแออัดในโรงพยาบาลใหญ่ โดยเฉพาะพื้นที่เขตเมือง มีเป้าหมายดำเนินการทั้งสิ้น 110 แห่ง ซึ่งโรงพยาบาลเพชรบูรณ์เป็น 1 ใน 16 จังหวัดพื้นที่นำร่องระยะแรกในปี 2559 และเป็น 1 ใน 8 จังหวัด ที่ได้รับงบประมาณ 44 ล้านบาท สร้างอาคารคลินิกหมอครอบครัว โดยมีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ร่วมกับทีมสหวิชาชีพทั้งหมด 3 ทีม ดูแลประชากรประมาณ 30,000 คน
จากนั้นนายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมการดำเนินงานของโรงพยาบาล ก่อนจะพบปะและกล่าวกับประชาชนที่มาให้การต้อนรับ พร้อมกล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยมีปัญหาต้องแก้ไขหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อยู่อาศัย ที่ทำกิน การบริหารจัดการน้ำ การพัฒนาประเทศ การปฏิรูปการเกษตร การปฏิรูปอุตสาหกรรม รวมไปถึงการปฏิรูปดิจิทัลที่จะต้องให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นปัญหาเพราะประเทศไทยยังไม่เข้มแข็งเพียงพอก่อนที่จะเข้ามา แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทุกประเด็นทั้งปัญหาในอดีต ปัจจุบัน และการเตรียมการสำหรับอนาคต โดยเฉพาะวันนี้ทุกคนต้องมีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อจะได้มีลูกหลานที่แข็งแรงในวันข้างหน้า มีอาชีพ และรายได้ที่เพียงพอในการเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว ซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศโดยรวมต่อไป
"การที่นายกรัฐมนตรีเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินเพื่อวางแผนอนาคตสำหรับทุกคนในวันนี้และวันข้างหน้า โดยรัฐบาลได้มีการวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีไว้เรียบร้อยแล้วสำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต รวมถึงการเตรียมความพร้อมคนในประเทศให้ทันกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีเข้าใช้ในการรักษาพยาบาลแล้ว ซึ่งในเรื่องของเทคโนโลยีและดิจิทัลทุกคนต้องให้ความสนใจ รู้จักที่จะเลือกในสิ่งที่ดีมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมขอให้ทุกคนยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเลือกรัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลเข้ามาบริหารประเทศ จึงฝากให้ประชาชนทุกคนไปศึกษาเกี่ยวกับหลักการและกระบวนการของการเลือกตั้งว่ามีขั้นตอนอย่างไร จะได้ปฏิบัติตนได้ถูกต้องและไม่เกิดบัตรเสีย รวมทั้งขอให้ทุกคนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งด้วย"
และช่วงหนึ่งนายกรัฐมนตรีได้ถามประชาชนที่มารอพบว่า รักหมอหรือไม่ เมื่อประชาชนตอบว่ารัก นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ถ้ารักหมอคงไม่เกลียดนายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ใครไม่รักนายกรัฐมนตรีไม่เป็นไร แต่ตนเองรักทุกคน และไม่เคยโกรธใคร พร้อมย้ำความจำเป็นของทหาร เพื่อดูแลช่วยเหลือประชาชน ขออย่าหลงเชื่อกลุ่มไม่หวังดีที่บิดเบือนข้อมูลต่างๆ
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงกับประชาชนว่า นายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญใหม่ต้องมาจากพรรคที่ได้เสียงข้างมาก ซึ่งจะร่วมจัดตั้งรัฐบาล และทุกพรรคการเมือง จะต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ตามบัญชีรายชื่อ การที่ตนเองพูดเรื่องนี้ไม่ได้หมายถึงตัวเอง แต่อยากชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รัฐบาล-คสช.มุ่งรับใช้ประชาชน และขอให้ประชาชนที่จะใช้สิทธิ์เลือกตั้ง อย่าเลือกแบบเรื่อยเปื่อย ก่อนจะย้ำว่า การลงพื้นที่ไม่ได้มีเจตนาในการหาเสียงเพื่อมุ่งหวังผลในการเลือกตั้ง และก่อนจะเดินทางกลับเพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีได้ทักทายผู้สูงอายุที่กล่าวว่า "รักนายกฯ" และขอให้ก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ซึ่งนายกรัฐมนตรี ตอบกลับว่า อยู่ในแผนอยู่แล้ว คือ เส้นทางเด่นชัย-แพร่-เพชรบูรณ์ ก่อนที่ผู้สูงอายุจะอวยพรให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ตอบรับว่า "จ้า รักทุกคน"
จากนั้น นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงที่มหาวิทยาลัย โดยมีนักศึกษาคณะคุรุศาสตร์ร่วมร้องประสานเสียงเพลงสะพาน หลังร้องเพลงจบ นายกรัฐมนตรีกล่าวกับนักศึกษาว่า รัฐบาลและตนเอง จะเป็นสะพานให้ทุกคนก้าวข้ามไป ซึ่งเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดหวังให้เกิดขึ้น สิ่งที่จะทำให้สะพานเกิดความต่อเนื่องคือ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพราะเชื่อมโยงไปในทุกเรื่อง และยืนยันว่า ประเทศไทยต้องมีแผนแม่บท เพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ไม่ขาดตอน และมีรากฐานที่แข็งแรง ซึ่งรัฐบาลนี้พยายามวางฐานรากไว้ให้ดีที่สุด
ทั้งนี้ฝากให้นักศึกษาเลือกเรียนในวิชาที่มีศักยภาพ จบแล้วมีงานทำ ต้องค้นหน้าสิ่งที่ตนเองชอบ ไม่ใช่ตามเพื่อน หรือพ่อแม่ เพื่อการทำงานในอนาคต ที่จะต้องสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในยุคอุตสาหกรรมที่ 4 เพื่อนำความรู้มาพัฒนาประเทศ
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้ขอกำลังใจจากนักศึกษาในการทำหน้าที่ และย้ำเรื่องการเลือกตั้งให้นักศึกษาที่มีอายุ 18 ปีออกไปเลือกตั้ง