นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการประชุมใหญ่ครั้งที่ 1 ของพรรคในวันนี้ว่า ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบผ่านข้อบังคับพรรค ซึ่งสาระสำคัญเป็นคำประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรค 9 ประการ อาทิ การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มุ่งมั่นสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง ต่อต้านเผด็จการทุกรูปแบบ สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ขจัดปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาค เป็นต้น
โดยในวันที่ 28 ต.ค.61 จะมีการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และเลือกคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งจำนวน 11 คน โดยกระบวนการนั้นจะให้มีการเสนอชื่อและนำรายชื่อมาหยั่งเสียงภายในพรรค ก่อนลงมติลับโดยใช้เสียงของที่ประชุม เช่นเดียวกับการเลือกกรรมการบริหารที่จะมีการหย่อนบัตรเลือกเป็นรายบุคคล โดยจะมีตัวแทนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)เข้าร่วมสังเกตการณ์
รวมถึงหัวหน้าพรรคนั้น จะสรุปกันวันที่ 28 ต.ค.อีกครั้ง โดยขณะนี้ยังมีหลายชื่อที่ได้รับการเสนอมา ทั้งนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รวมถึงบุคคลอื่น ซึ่งทุกคนก็มีสิทธิเสนอชื่อมาได้จนถึงวันตัดสิน
พร้อมทั้งยืนยันว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ไม่ได้ผูกขาดว่าต้องเป็นในตระกูล"ชินวัตร"แต่ทุกคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันกับพรรค ซึ่งสมาชิกพรรคทุกคนมีสิทธิเป็นหัวหน้าพรรคได้
รวมถึงการที่พรรคจะเสนอชื่อ 3 รายชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งตามที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า พรรคมั่นใจว่าจะเสนอชื่อได้ทั้ง 3 รายชื่อแน่นอน แต่ยังไม่มั่นใจว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ จึงยังไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาหารือเรื่อง 3 รายชื่อดังกล่าว เพราะเป็นช่วงที่จะทำให้พรรคถูกต้องสมบูรณ์ และสามารถทำหน้าที่ส่งผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ได้ก่อน
นายภูมิธรรม กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่หัวหน้าพรรคจะได้รับการเสนอชื่อเป็น 1 ใน 3 ว่าที่นายกรัฐมนตรีหรือไม่นั้นว่า ทางกฏหมายระบุว่า หัวหน้าพรรคไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 และยังไม่ถึงเวลาที่ต้องวางตัว 3 รายชื่อที่จะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในทางปฏิบัติควรจะมีรายชื่อของหัวหน้าพรรคด้วย ซึ่งเรื่องนี้มองว่าขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความจำเป็นของแต่ละพรรค
"เราจะมีหัวหน้าพรรคที่บริหารประเทศได้แน่ และเป็นคนที่มีคุณภาพและศักยภาพสำหรับพรรคเพื่อไทยเพื่อทำงาน เมื่อถึงเวลาเรามีเวลาเลือก 3 ท่านก็เป็นไปได้หมดในพรรคเพื่อไทย" นายภูมิธรรม กล่าว
อย่างไรก็ตาม บุคคลที่จะมาทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพรรคจะต้องเป็นบุคคลที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ไม่เอาเผด็จการ และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทำงาน พรรคไม่ได้ยืนอยู่ได้ด้วยใครคนใดคนหนึ่ง แต่ยืนอยู่ได้ด้วยบุคคลากรที่มีคุณภาพภายในพรรคทุกๆคน ซึ่งล้วนแต่สามารถทำหน้าที่ได้ทั้งสิ้น บุคลิกของหัวหน้าพรรคต้องเป็นคนที่มีความสามารถในการประสานและเป็นที่ยอมรับของทุกคนในพรรค มีวิสัยทัศน์ที่มองถึงการเปลี่ยนแปลงทำให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตย
นายภูมิธรรม ชี้แจงว่า พรรคมีจุดยืนในระบอบประชาธิปไตย คัดค้านเผด็จการ และมุ่งไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของประชาชนเป็นหลัก ซึ่งเป็นจุดยืนตั้งแต่สมัยเป็นพรรคไทยรักไทย จนมาถึงพรรคเพื่อไทย และที่กล่าวว่า "หัวใจคือประชาชน" พรรคยังคงยึดมั่นอุดมการณ์นี้ไม่เปลี่ยนแปลง โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการเดินหน้าทางการเมือง และกำหนดนโยบายของพรรค
ส่วนกระแสข่าวว่า นายปานปรีย์ พหิทธานุกร อดีตรองหัวหน้าพรรค ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหัวหน้าพรรคด้วยนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ส่วนตัวเป็นพี่น้องกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ยังไม่ได้มีการอาสาตัวเข้ามาอย่างชัดเจน ซึ่งจากวันนี้ไปจะอยู่ในกระบวนการ หากต้องการเสนอ ตนเองหรือไม่ว่าใครในพรรคเป็นผู้เสนอชื่อก็ได้
สำหรับข่าวที่ระบุว่านายณัฐวุฒิ ประเสริฐสุวรรณ และนายชาญชัย ประเสริฐสุวรรณ อดีตสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนาจะมาสมัครเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทยนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ได้อ่านพบในหนังสือพิมพ์เมื่อเช้านี้ หากมาจริงก็ยินดีต้อนรับ ถ้ามีการพูดคุยกันแล้วอุดมการณ์ตรงกัน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้พบกัน
ขณะที่ข่าวที่ว่านายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตส.ส.ของพรรคพลังประชาชน ได้รับเลือกให้ไปเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อธรรม ซึ่งเป็นพรรคสำรองของพรรคเพื่อไทยนั้น นายภูมิธรรม ยืนยันว่า เป็นการตัดสินใจส่วนตัวของนายสมพงษ์ และพรรคเพื่อธรรมก็ไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะถือเป็นอีกพรรคการเมืองที่ตั้งมานานแล้ว พร้อมๆกับพรรคใหม่ๆที่เพิ่งเปิดตัวไป
"ถือเป็นเหตุผลทางการเมืองของแต่ละบุคคล อีกทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีกติกาและเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ดังนั้นการโยกย้ายพรรคจึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา ซึ่งประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน โดยยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยกับพรรคเพื่อธรรมเป็นคนละพรรคกัน ทั้งในแง่กฎหมายและตัวบุคลากร"
นอกจากนี้ นายภูมิธรรม ยังได้เรียกร้องให้กระบวนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น เป็นกระบวนการเลือกตั้งที่เสรีเป็นธรรม การที่มีพรรคการเมืองหลายพรรคมาแข่งกันนั้นไม่มีปัญหา แต่ขอให้เป็นการเข้ามาอยู่ในกระบวนการที่แข่งขันกันอย่างเป็นธรรม ให้โอกาสทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน และรัฐบาลอย่าใช้ความได้เปรียบของตัวเอง เพราะขณะนี้มีการกล่าวกันว่าบางพรรคใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นที่ทำการพรรค ซึ่งต้องชี้แจงให้เกิดความกระจ่างชัดเจนด้วย
"รัฐบาลเองอย่าใช้ความได้เปรียบของตนเอง โดยเวลานี้ทุกคนต้องหาสถานที่ของตนเอง บางส่วนก็มีการกล่าวหาว่าพรรคบางพรรคใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นที่ทำการพรรค ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วต้องชี้แจงให้เกิดความกระจ่าง อย่าให้รู้สึกว่าทำเนียบรัฐบาลกลายเป็นพื้นที่นำมาใช้ประโยชน์เพื่อเอื้ออำนวยประโยชน์พรรคใดพรรคหนึ่ง"นายภูมิธรรม กล่าว