รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย ระบุว่า พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องและให้กำลังใจต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยขอให้การปฏิบัติหน้าที่ของ กกต. เป็นไปอย่างตรงไปตรงมา ยึดกฎหมายเป็นหลัก แม้จะได้อำนาจมาให้กระทำการที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายได้ ก็ไม่ควรที่จะกระทำ รูปแบบการเลือกตั้งที่เปลี่ยนแปลง โดยไม่เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ โดยไม่ฟังเสียงประชาชนนั้นไม่ควรที่จะเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด
โดยพรรคเพื่อไทยเห็นว่าการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. 16/2561 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 เปิดให้มีการยื่นข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการแบ่งเขตเลือกตั้งต่อ กกต. และ คสช. และรัฐบาลได้ โดยให้อำนาจ กกต.ที่จะเปลี่ยนแปลงการแบ่งเขตเลือกตั้งได้โดยกรณีจำเป็น ก็ไม่จำต้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ประกาศ หรือมติใดๆ ของ กกต.ที่ออกไว้ได้ โดยถือว่าการกระทำดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญและเป็นที่สุด พร้อมทั้งขยายเวลาในการแบ่งเขตของ กกต.ไปจนถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2561 นั้น มีนัยทางการเมือง และไม่ชอบด้วยหลักการทางกฎหมายหลายประการ
เนื่องจาก กกต.เป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมายในการแบ่งเขตเลือกตั้ง และหลักเกณฑ์วิธีการในการแบ่งเขต กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 27 ก็ได้กำหนดไว้ชัดเจน ซึ่ง กกต.เองก็ได้ออกระเบียบว่าด้วยการแบ่งเขต และมีการดำเนินการตามระเบียบดังกล่าว ด้วยการกำหนดรูปแบบการแบ่งเขต 3 รูปแบบของแต่ละจังหวัด และให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นจนเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว และทุกจังหวัดก็ได้ส่งข้อมูลดังกล่าวให้ กกต. จนกระทั่ง กกต.เตรียมที่จะประกาศการแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว แต่จู่ๆ คสช. ได้ออกคำสั่งดังกล่าว โดยที่มิได้มีการร้องขอจากฝ่ายใด และไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดที่ต้องใช้มาตรา 44 ดำเนินการในเรื่องดังกล่าว จึงขอตั้งข้อสังเกตว่าการออกคำสั่งนี้มีนัยทางการเมืองแอบแฝง และถือเป็นการแทรกแซงก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ของ กกต.
ในการแบ่งเขตเลือกตั้ง 3 รูปแบบ ที่ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน เป็นการดำเนินการตามหลักเกณฑ์วิธีการตามที่มาตรา 27 ของกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดไว้ โดยกำหนดให้รวมอำเภอต่างๆ เป็นเขตเลือกตั้ง และให้พิจารณาการเคยอยู่ในเขตเลือกตั้งเดียวกันมาก่อนเป็นสำคัญด้วย เว้นแต่การรวมอำเภอในลักษณะดังกล่าวจะทำให้จำนวนราษฎรมากหรือน้อยไปก็ให้แยกตำบลของอำเภอออกไปเพื่อให้จำนวนราษฎรพอเพียงสำหรับการเป็นเขตเลือกตั้งเท่านั้น แต่การออกคำสั่งให้ กกต. เปลี่ยนแปลงการแบ่งเขตเลือกตั้งได้โดยไม่ต้องทำตามกฎหมาย และระเบียบที่ตนออกไปก็ได้นั้น เป็นการส่งสัญญานให้ กกต. ทำผิดกฎหมายได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงกฎหมาย ระเบียบ และความคิดเห็นของประชาชนจำนวนนับหมื่นของแต่ละจังหวัดที่เสนอความเห็นต่อการแบ่งเขตเลือกตั้ง และยังไปรับรองว่าการกระทำดังกล่าวของ กกต. ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและชอบด้วยกฎหมาย ถือเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้
เนื่องจากมีหัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรคการเมืองดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลถึงสี่คน และรัฐบาลกับ คสช.ก็อยู่องคาพยพเดียวกัน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งได้กล่าวยอมรับว่ารัฐบาลและ คสช. เป็นพวกเดียวกัน ดังนั้นการออกคำสั่งนี้อาจถูกมองว่าเป็นการเอื้อประโยชน์สำหรับผู้สมัครของพรรคการเมืองในซีกรัฐบาล เพื่อชิงความได้เปรียบในการเลือกตั้งได้
กกต. เป็นองค์กรอิสระต้องมีความเป็นกลางทางการเมือง และมีความกล้าหาญ ต้องยึดกฎหมายและความเป็นธรรมเป็นหลักในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ควรโอนอ่อนผ่อนตามไปตามความเห็นของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใด โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายและระเบียบที่ตัวเองกำหนดขึ้น และโดยไม่ฟังเสียงของประชาชนในเขตพื้นที่ การแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นต้นธารของการเลือกตั้ง หากการแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ตั้งแต่ต้นเสียแล้ว ย่อมส่งผลทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรมได้