นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจในการรณรงค์การหาเสียงเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีของพรรค ว่า ไม่ใช่การสืบทอดอำนาจ เพราะพล.อ.ประยุทธ์ มาเพียงคนเดียว และไม่มีผู้สมัครทั้ง ส.ส.เขตและส.ส.บัญชีรายชื่อคนใดเป็นทหาร ดังนั้นไม่ควรนำประเด็นนี้มาโจมตีเพื่อสร้างความขัดแย้ง พร้อมยกตัวอย่างเรื่องการแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารบก ในช่วงที่ผ่านมามักจะเป็นสายบูรพาพยัคฆ์ แต่ในช่วงที่พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารบก 2 นาย มาจากสายอื่น ซึ่งถือเป็นการคืนความชอบธรรมให้กับกองทัพ
ทั้งนี้ ยอมรับว่า การที่พรรคพลังประชารัฐจะเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม วันนี้ได้มีการนัดหารือคณะกรรมการเฉพาะกิจฯ ที่พรรคพลังประชารัฐ เพื่อเตรียมพร้อมวางแผนการทำงานและรับมือในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องที่พรรคจะถูกโจมตีว่าสืบทอดอำนาจ เพราะขณะนี้บางพรรคการเมืองได้พยายามหาเสียงโดยนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็น มากกว่าการนำเสนอนโยบายต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์
นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า คะแนนนิยมของพรรคพลังประชารัฐในภาคอีสานตกต่ำ และไม่มีทางได้ที่นั่ง ส.ส. 50 ที่นั่ง ตามที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กล่าวไว้นั้น โดยยืนยันว่าไม่อยากให้มีการประเมินตัวเลขจำนวน ส.ส. เพราะจะทำให้เกิดการโต้เถียงและวิพากษ์วิจารณ์ แต่หากดูจากนโยบายและผลงานของพรรคขณะนี้ ถือว่าเป็นไปในทิศทางบวก เนื่องจากพรรคการเมืองอื่นไม่มีนโยบายนำเสนอ มีแค่การพูดเรื่องความขัดแย้งและสืบทอดอำนาจ
"พรรคพลังประชารัฐไม่ได้ได้เปรียบกว่าพรรคการเมืองอื่น และเสียเปรียบในหลายเรื่อง ทั้งการเป็นพรรคใหม่ และมีผู้สมัครหน้าใหม่จำนวนมาก แต่ก็จะพยายามหาดาวฤกษ์ดวงใหม่มาสู้"
ส่วนกรณีนายสิระ เจนจาคะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เขตหลักสี่ ลงพื้นที่แจกข้าวและวีลแชร์ อาจเข้าข่ายหาเสียงหรือซื้อเสียงล่วงหน้าหรือไม่นั้น นายสมศักดิ์บอกว่า ยังไม่ได้มีการหารือกันเรื่องนี้