นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงทิศทาง และแนวโน้มอุตสาหกรรมกับการลงทุน หลังการเลือกตั้ง 62 ว่า หากการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 62 เกิดขึ้นและผ่านพ้นไปจนได้รัฐบาลใหม่ โจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลหลังเลือกตั้งจะต้องเผชิญ คือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจฐานราก และปัญหาปากท้องของประชาชนที่สั่งสมมาตลอดช่วง 4 ปี
"เป็นที่มา ที่ทำให้ประชาชนอยากเห็นการเลือกตั้งเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะจงเกลียดจงชังรัฐบาลนี้ แต่เพราะหวังว่าการเลือกตั้งจะช่วยให้ได้มาซึ่งรัฐบาลชุดใหม่ที่จะทำให้หลุดพ้นจากความอดอยากได้ แม้ประเทศต้องการความสงบ แต่ความสงบอย่างเดียวไม่พอ ประชาชนต้องท้องอิ่มด้วย" นายจุรินทร์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ทิศทางและแนวโน้มของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองหลังเลือกตั้ง นอกจากขึ้นกับนโยบาย ศักยภาพและประสิทธิภาพในการบริหารประเทศของรัฐบาลใหม่แล้ว ยังจะขึ้นกับปัจจัยสำคัญ คือ เสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะมีเสถียรภาพได้ ต้องมี 2 ปัจจัยสำคัญเกื้อหนุน ปัจจัยแรก คือ ความชอบธรรม ซึ่งรัฐบาลจะมีความชอบธรรมได้ก็ต่อเมื่อมาจากกระบวนการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม หรือกระบวนการเลือกตั้งที่มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม
ส่วนปัจจัยที่ 2 คือ รัฐบาลใหม่จะต้องมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร จะอาศัยแค่เสียงสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่งตั้งจำนวน 250 คน รวมกับเสียงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) อีกแค่ 126 เป็น 376 เสียง ย่อมไม่เพียงพอที่จะทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ เพราะแม้จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เสียงในสภาผู้แทนราษฎรแค่ 126 เสียง จะทำให้กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากฝ่ายค้านจะมีเสียงถึง 374 เสียง ทำให้ไม่สามารถทำงานต่างๆ ได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะการพิจารณากฎหมายต่างๆ
"เสถียรภาพของรัฐบาลหลังเลือกตั้ง จึงอยู่ที่ความชอบธรรม และเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะส่งผลต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศโดยตรงด้วย" รองหัวหน้า ปชป.ระบุ