นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า การจัดการเลือกตั้งทั่วไปของไทยหลังการรัฐประหารย่อมอยู่ในความสนใจของนานาชาติ และ องค์กรต่างประเทศต่างๆ ว่าการเลือกตั้งจะเป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมหรือไม่
ขณะที่ผู้มีอำนาจที่มาจากการรัฐประหารกำลังจะเปลี่ยนสถานะตนเองจากเดิมที่เป็นกรรมการมาเป็นผู้เล่นในสนามเลือกตั้งด้วย ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าจะมีการใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อประโยชน์ของตนเองและพรรคพวกของตนเองในการเลือกตั้งหรือไม่ โดยที่ผ่านมาหัวหน้า คสช.ได้ใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง และการเปลี่ยนแปลงเขตเลือกตั้ง ที่อาจเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองบางพรรค และยังมีความพยายามที่จะออกแบบบัตรเลือกตั้งที่มีเพียงตัวเลขอย่างเดียวเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคการเมืองใหม่บางพรรค ตลอดจนการวางกรอบกติกาเลือกตั้งที่ถูกออกแบบโดยแม่น้ำ 5 สาย ซึ่งมีที่มาจาก คสช. ขณะที่องค์กรอิสระที่จัดการเลือกตั้ง คือ กกต.ก็มาจากกลไกการสรรหาในช่วงที่ คสช.มีอำนาจอยู่ และ กกต.ก็ถูกวิจารณ์เรื่องการทำหน้าที่ว่ามีอิสระหรือไม่
"การเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาสังเกตการณ์เลือกตั้งจะเกิดประโยชน์มากกว่าโทษต่อประเทศไทย คือ 1.แสดงความโปร่งใสในการเลือกตั้ง 2.ทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรมมากขึ้น 3.ลดข้อครหา นินทา และความเคลือบแคลงสงสัยของการใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อแทรกแซงการเลือกตั้งจากผู้มีอำนาจ 4.ทำให้เกิดความเชื่อมั่นจากนานาอารยประเทศต่อการเลือกตั้งของไทย และ 5.ทำให้เกิดการยอมรับผลการเลือกตั้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ"
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานคณะทำงานรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวถึงกรณี รมว.ต่างประเทศ ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยที่นานาชาติจะขออนุญาตเข้ามาสังเกตุการณ์การเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะมีขึ้นนั้นว่า เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
"งานกระทรวงการต่างประเทศซึ่งต้องผูกมิตร สร้างการยอมรับ ยกระดับความเชื่อมั่น กลายเป็นกระทรวงการต่างประเทศทำให้ประเทศไทยที่ตอนนี้แปลกแยกจากคนอื่นเรื่องรูปแบบการปกครองอยู่แล้ว กลายเป็นแกะดำที่ต้องจับตามากขึ้น ถ้าเชิญเขาเข้ามาก็คงมาจริงจำนวนหนึ่ง แต่ออกอาการแบบนี้จะอยากมากันทั่วโลก"