นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ในการประชุมผู้สมัครของพรรคในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ จะเป็นการเอารายชื่อเซ็ตแรกมาดู และช่วงบ่ายจะมีประชุมคณะกรรมการสรรหาเพื่อพิจารณารอบที่ 2 คาดว่าอย่างช้าต้นปีหน้าจะตอบได้ว่าจะส่งผู้สมัครกี่เขต และเมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งออกมาจะประกาศ 3 รายชื่อแคนดิเดตนายกฯ
สำหรับกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดบัตรเลือกตั้งเป็นแบบไฮบริดว่า การใช้บัตรใบเดียวนั้นสะท้อนการตัดสินใจ 3 เรื่องด้วยกันคือ 1.เลือกนายกรัฐมนตรี 2.เลือกพรรคการเมืองที่จะไปกำหนดนโยบายและแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน และ 3.เลือกสมาชิกผู้แทนราษฎร ดังนั้นการกาบัตรครั้งเดียวได้ทั้ง 3 อย่างตรงนี้จึงสำคัญ การให้ผู้สมัครแต่ละคนมีเบอร์ของตัวเองนั้นสร้างความสับสน และไม่สามารถสะท้อนเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชนได้
"การมีเบอร์เดียวนั้นจะทำให้ง่ายทั้งการปฏิบัติ การจัดการ การพิมพ์บัตร และการตัดสินใจของพี่น้องประชาชน จะเลือกพรรคไหนก็ง่ายเหมือนกัน" นายภูมิธรรม กล่าว
ส่วนข้อกังวลว่าการใช้เบอร์เดียวทั่วประเทศอาจจะต้องไปเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายแล้วทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปนั้น ตนเองเห็นว่าในแง่เทคนิคทางกฎหมาย รัฐบาลมีช่องทางที่จะดำเนินการอยู่แล้ว โดยสามารถนำเรื่องเข้าที่ประชุมสภานิติบัญญัติ (สนช.) เพื่อพิจารณา 3 วาระรวดก็ได้
"กกต.ควรทำหน้าที่นี้ อย่าให้คนรู้สึกว่า กกต.ไม่เห็นประโยชน์ของประเทศและไม่เป็นกลาง ถ้ารัฐบาลมั่นใจว่าที่ผ่านมาบริหารประเทศได้ดีและมีพี่น้องประชาชนสนับสนุนจำนวนมาก ยิ่งใช้เบอร์เดียวจะยิ่งดีสำหรับรัฐบาล" นายภูมิธรรม กล่าว
ส่วนกรณีที่จะไม่อนุญาตให้นานาชาติเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้งนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า การที่องค์กรต่างๆ อยากเข้ามาสังเกตการณ์การเลือกตั้งยิ่งจะทำให้เกิดความมั่นใจ เป็นผลดีกับประเทศโดยรวม และจะทำให้ผลการเลือกตั้งที่จะออกมาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
"ตนเองคิดว่าควรจะเปิดโอกาสให้นานาชาติเข้ามา โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันที่รัฐบาลไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีการถ่วงดุล ยิ่งต้องทำให้ความโปร่งใส ตรงนี้ชัดเจน การพยายามปกปิดต่างหากที่สร้างความหวาดระแวง" นายภูมิธรรม กล่าว
ส่วนกรณีที่มีผู้เสนอให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้าไปตรวจสอบข้าราชการที่ไปซื้อโต๊ะงานระดมทุนพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า ก็เป็นสิ่งที่ควรเข้าไปตรวจสอบ เพราะเป็นสิ่งที่ผิดปกติ ตนนึกถึงตัวเองที่ไม่ใช่คนยากลำบากจะให้ควักเงิน 3 แสนบาทไปนั่งทางอาหารยังคิดเยอะเลย แต่นี่สามารถทำได้ถึง 200 โต๊ะ มีคนถึง 2 พันคนที่ยอมควักเงิน 3 แสนไปนั่งทานอาหารมือหนึ่งก็เป็นเรื่องพิเศษที่ กกต.ควรเข้าไปตรวจสอบ
ขณะที่นายนพดล ปัทมะ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนมีข้อเสนอ 4 เรื่องคือ 1.กกต.ไม่ควรไปคุมจำนวนป้าย แต่ไปคุมที่ค่าใช้จ่าย ตัวเลขจำนวนป้ายที่เสนอเบื้องต้นก็น้อยไปเมื่อเทียบกับขนาดของเขตที่ใหญ่ขึ้น กกต.ไม่ควรไปลงรายละเอียดและกำหนดขนาดป้ายและจำนวนป้ายของผู้สมัครที่สามารถติดได้ในแต่ละเขต แต่ควรไปคุมที่ตัวเลขค่าใช้จ่ายในการหาเสียงของผู้สมัครในเขตที่อาจกำหนดไว้ที่คนละ 2 ล้าน แล้วให้ผู้สมัครคิดเองว่าจะทำป้ายขนดไหน จำนวนเท่าไหร่ ตราบใดที่อยู่ในวงค่าใช้จ่ายที่ กกต.กำหนด 2.กกต.ควรเสนอให้มีการแก้กฎหมายให้พรรคเดียวกันใช้เบอร์เดียวกันทั่วประเทศเพื่อความสะดวกของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งและสร้างความเข้มแข็งให้ระบบพรรคการเมือง เรื่องนี้ตนเคยผลักดันและใช้ได้ผลดีมาร่วม 20 ปีแล้ว
3.กกต.ต้องดูแลให้การเลือกตั้งเสรีและเป็นธรรม เพื่อให้สังคมมั่นใจว่าจะไม่มีฝ่ายใดใช้อำนาจรัฐและทรัพยากรของรัฐที่จะกระทบต่อการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม และสร้างหลักประกันแห่งความเท่าเทียมในการรณรงค์หาเสียงของพรรคต่างๆ พรรคใดชนะเลือกตั้งจะได้มีความสง่างามเพราะไม่เอาเปรียบพรรคอื่น ประชาชนจะยอมรับผลเลือกตั้งและไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง และ 4.ควรเปิดให้พรรคการเมืองกำหนดสถานที่และรณรงค์ปราศรัยหาเสียงอย่างเต็มที่ตามที่เคยทำมา
"ถ้า กกต.ทำทั้ง 4 เรื่องดังกล่าวสำเร็จจะได้รับคำชื่นชมจากสังคมเป็นอย่างมาก" นายนพดล กล่าว