นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ในวันนี้ขอประกาศชุดนโยบายยกระดับความเป็นอยู่ ซึ่งเป็นนโยบายที่สองต่อเนื่องจาก 10 นโยบายการศึกษายกระดับคุณภาพเด็กไทยที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ โดยการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคฯ จะชูนโยบาย "ประกันรายได้คนไทย ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" เป็นการเพิ่มเงินในมือประชาชน เน้นยกระดับชีวิตคนไทย โดยใช้เกณฑ์ช่วยเหลือคนทุกกลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 120,000 บาทต่อปี ประกอบด้วย
1.โครงการโฉนดสีฟ้า ได้แก่ โฉนดชุมชน จัดการตนเองเพื่อที่อยู่ที่ทำกินด้วยการออก พ.ร.บ.โฉนดชุมชน เพื่อให้สิทธิ์ในการจัดการตนเองไปยังชุมชนอย่างแท้จริง, ยกระดับเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก.กู้ได้ เพื่อขยายโอกาสให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนของรัฐ เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเกษตรกรรม และสามารถสืบทอดตกถึงลูกหลานได้, เดินหน้าธนาคารที่ดิน เพิ่มที่ทำกินให้คนไทย เพื่อการจัดสรรและเพิ่มการกระจายตัวของที่ดินให้ครอบคลุม ความต้องการของประชาชน, เร่งออกโฉนดทันใจ"สะสางโฉนดที่ดินที่ค้างท่อมานาน เร่งรัดทำให้โฉนดให้ที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ สค.1, นส.3 และเอกสิทธิต่างๆ ที่ชอบด้วยกฎหมายให้เสร็จ
2.น้ำถึงทุกไร่นา จัดตั้ง "กองทุนน้ำชุมชน" เพื่อให้เกษตรกรมีน้ำใช้ตลอดปี มีเงินทำแหล่งน้ำทุกหมู่บ้าน รัฐมีงบและผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ชาวบ้านสามารถจัดการแหล่งน้ำด้วยตนเอง
3.ประกันรายได้เกษตรกร มุ่งเน้นที่ตัวเงินในกระเป๋าเกษตรกรเป็นหลัก ไม่แทรกแซงกลไกตลาด ไม่ทำการประกันราคาสินค้า และไม่ทำจำนำที่สูงกว่าราคาตลาด โดยจะครอบคลุมพืชทุกชนิด สร้างความมั่นคงของรายได้ให้เกษตรกรไทยทุกคน มีหลักประกันรายได้ขั้นต่ำในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด ยางพารา ปาล์ม รวมไปถึงการทำประกันภัยพืชผล ให้เงินคุ้มครองความเสียหายผลผลิตจากภัยธรรมชาติ เพื่อคุ้มครองต้นทุนการผลิตของเกษตรกร
4.ประกันรายได้แรงงาน เป้าหมายค่าแรงของคนไทยต้องไม่ต่ำกว่า 120,000 บาท/ปี รัฐจ่ายส่วนต่าง ลดภาระผู้ประกอบการ
5.เบี้ยผู้ยากไร้ 800 บาท/เดือน โอนตรงสู่บัญชีเงินอุดหนุนให้แก่ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 100,000 บาท/ปี โดยทุกคนต้องเข้าระบบรายงานสถานะทางการเงินของตนเองทุกปี
6.เบี้ยผู้สูงอายุ 1,000 บาท/เดือน โอนตรงสู่บัญชีผู้สูงอายุรับ 1,000 บาท เพื่อดูแลค่าครองชีพและจุนเจือชีวิตความเป็นอยู่ในวัยเกษียณ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคฯ ตั้งใจเป็นอย่างยิ่งว่า "ประกันรายได้คนไทย เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" จะเป็นชุดนโยบายเพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ โดย 6 นโยบายข้างต้นนี้สามารถทำได้ทันทีที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล
"พรรคประชาธิปัตย์ตระหนัก เข้าใจ และเห็นใจพี่น้องประชาชนในยุคที่ประเทศไทยเต็มไปด้วยความผันผวนทางเศรษฐกิจ ความกังขาต่อความเท่าเทียม ความเหลื่อมล้ำในโอกาสที่ยากจะเข้าถึง และความมั่งคั่งที่กระจุกจนเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เป็นธรรม"
นอกจากนี้ ในส่วนของนโยบายเศรษฐกิจยุคใหม่ "ยกระดับประเทศไทย ก้าวไกลทันโลก" นโยบายที่จะนำพาประเทศสู่การรับมือต่อความท้าทาย 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน (ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ) 2.Aging Society และ 3.ลดความเหลื่อมล้ำ โดยหลักใหญ่ที่พรรคพร้อมนำมาประกาศใช้คือ การเปลี่ยนตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจจาก GDP ที่เน้นการเติบโตแบบอัดฉีดมาเป็น SDI (Sustainable Development Index) เน้นการพัฒนาเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างความเข้มแข็งให้ประเทศไทยต่อเนื่อง
หัวหน้าพรรค ปชป.กล่าวว่า พรรคตระหนักดีว่าการดำเนินนโยบายดังกล่าวจะต้องใช้เงินงบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน ดังนั้นถ้าจะลดความเหลื่อมล้ำให้ได้จริงๆ ก็ต้องใช้ระบบภาษีก้าวหน้า ซึ่งไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนส่วนใหญ่
"คนส่วนใหญ่ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนต้องถูกหักโน่นหักนี่อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่กฎหมายมีช่องให้คนที่มีรายได้เยอะจริงๆ ไม่ต้องเสียภาษี" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้นจะต้องมีการปรับปรุงฐานข้อมูลให้ใกล้เคียงความเป็นจริง เพื่อให้ผู้ที่มีความเดือดร้อนได้รับความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันก็ต้องตัดคนที่ไม่ได้มีฐานะยากจนออกไป
หัวหน้าพรรค ปชป.ยังกล่าวถึงการจัดงานระดทุนของพรรคพลังประชารัฐว่า สามารถดำเนินการได้ แต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คงจะได้ตรวจสอบความถูกต้อง ในส่วนของ ปชป.เองมีความระมัดระวังในเรื่องข้อกฎหมายอย่างเคร่งครัด และคงไม่ได้จัดงานในลักษณะดังกล่าว เพราะมีเงินบำรุงและเงินบริจาคตามปกติอย่างเพียงพออยู่แล้ว