นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ขอสนับสนุนข้อเสนอของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้รัฐบาลทบทวนร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) เพื่อรับฟังความเห็นในวงกว้างมากยิ่งขึ้น และเนื่องจากจะเป็นแผนที่จะมีผลผูกพันรัฐบาลในอนาคต จึงสมควรที่จะรอให้รัฐบาลใหม่เป็นผู้พิจารณาอนุมัติ
โดยพรรคประชาธิปัตย์ มองว่าประเทศไทยสามารถเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานได้อีกมาก จากการส่งเสริมอย่างจริงจังในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน ซึ่งร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของรัฐบาลปัจจุบันเป็นตัวยืนยันว่ารัฐบาลยังไม่เข้าใจว่าการพัฒนาทางเทคโนโลยีด้านพลังงานเป็นโอกาสสำคัญของประเทศและของประชาชนคนไทย
นอกจากนี้ ได้เสนอ 1.การเปลี่ยนวิธีคำนวณกำลังผลิตส่วนเกิน ที่ทำให้กำลังผลิตส่วนเกินดูเหมือนลดลง จากเนื้อหาตามเอกสารแนบที่ทางสภาอุตสาหกรรมฯได้กล่าวไว้ ทางพรรคฯ เห็นพ้องด้วยว่า "ไม่เหมาะสม" และมีคำถามว่าเป็นการปรับเปลี่ยน เพียงเพื่อเป็นข้ออ้างในการบรรจุแผนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มเติมหรือไม่
ประเด็นนี้สำคัญเพราะกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น จะเป็นภาระซึ่งจะมีผลต่อค่าไฟฟ้าของประชาชนสูงถึง 10,000 ล้านบาทต่อปี ขอตั้งคำถามว่า การบรรจุแผนการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพื่อประโยชน์ใคร
2) ทำไมเราจึงไม่ใช้งบประมาณในการ "ยกระดับสายส่ง" ให้มีการส่งไฟฟ้าจากส่วนเกินของโรงไฟฟ้าทางตะวันออกที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจะเป็นการใช้กำลังผลิตที่มีอยู่แล้วให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3) ประชาธิปัตย์มองว่าโครงสร้างอุตสาหกรรมที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ควบรวมทั้งการผลิต ทั้งโครงข่ายสายส่ง เป็นต้นเหตุที่ทำให้ กฟผ.ขาดแรงบันดาลใจในการยกระดับการพัฒนาระบบสายส่ง รวมไปถึงการพัฒนาระบบ Smart Grid เพื่อให้กฟผ. มีประสิทธิภาพในการบริหารการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น
4) พรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายที่จะลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลอย่างเป็นระบบ โดยที่เราจะส่งเสริมให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาถูก ส่งเสริมการใช้รถเมล์ไฟฟ้า รถไฟฟ้า และส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าโดยพลังงานทดแทน และพรรคประชาธิปัตย์จะผลักดันยุทธศาสตร์ Solar Rooftop อย่างจริงจัง เพื่อที่จะลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มรายได้ให้ประชาชน
"ปชป.สนับสนุนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยที่ได้ออกหนังสือคัดค้านแผนพัฒนาฯ ของรัฐบาลที่ไม่โปร่งใส ขาดความจริงใจในการสนับสนุนการพัฒนาพลังงานทดแทน และจะส่งผลทำให้ประชาชนต้องรับภาระค่าไฟที่สูงขึ้น"