นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวในหัวข้อ "นโยบายพรรคการเมืองกับการแก้ปัญหาวิกฤตใต้" ว่า พี่น้องประชาชนภาคใต้มีความคาดหวังมากที่สุดคือเรื่องเศรษฐกิจของชาวบ้าน ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาถือว่าสาหัสสำหรับพี่น้องชาวใต้ เพราะเส้นเลือดหลักที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจภาคใต้ ประกอบด้วย ยางพารา ปาล์ม ประมง ได้รับผลกระทบรุนแรงมาก เพราะฉะนั้นสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขที่เป็นวิกฤติในเชิงเศรษฐกิจ เอากำลังซื้อกลับมาคืนให้กับพี่น้องชาวใต้ พี่น้องชาวสวนยาง พี่น้องสวนปาล์ม พี่น้องชาวประมง
ทั้ง 3 เรื่องนี้ ประชาธิปัตย์เคยทำมาแล้ว และในช่วงหลังได้ติดตามมาโดยตลอดว่าการแก้ปัญหาต่างๆ ทำไมถึงผิดทิศผิดทาง เราจึงมีความพร้อมในการนำเสนอนโยบายจากประสบการณ์ในอดีตของความสำเร็จของเรา โดยเสนออย่างน้อย 5 มาตรการ 1. ยกระดับราคา และจะมีระบบประกันรายได้ในที่สุดที่ไม่ต่ำกว่า 60 บาทต่อกิโลกรัม สูงกว่าต้นทุน เป็นไปตามหลักการประกันรายได้ที่ได้ทำกับพืชตัวอื่นมาแล้ว และเชื่อว่า ถ้ามีมาตรการในการสนับสนุนเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาก็จะสูงกว่า 60 บาทได้
2. การนำยางพารามาใช้เป็นวัตถุดิบอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่รัฐบาลทำได้เลยคือการนำเอายางพาราไปใช้เสียเอง ซึ่งได้เรียกร้องมาหลายปีแล้ว ยื่นหนังสือถึงรัฐบาลหลายครั้ง ง่ายที่สุดเอาไปทำถนน ยื่นแล้ว ยื่นอีก จนถึงวันนี้หน่วยงานของรัฐบาลก็ยังไม่ยอมเอายางพาราไปทำถนน แต่ท้องถิ่นที่ประชาธิปัตย์ดูแล เอาไปทำแล้ว พิสูจน์แล้วว่าทำได้จริง พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้แพง พิสูจน์แล้วว่าคุณภาพถนนใช้ได้ อย่างเช่นที่ อบจ. สงขลา ทำไปแล้ว แต่งบท้องถิ่นมันน้อย ต่อไปกระจายอำนาจงบท้องถิ่นเพิ่มขึ้น ก็จะช่วยได้ แต่หน่วยงานของรัฐต้องเอายางพาราไปใช้เพิ่มขึ้นทันที ถนนก็ทำได้ นี่เป็นนโยบายของเรา ลานกีฬาก็ทำได้ และเรามีโครงการที่จะขุดสระ ในไร่นา แสนบ่อทั่วประเทศ ใช้ยางพาราเป็นพื้นทำได้ และจะทำทันทีเพื่อเพิ่มความต้องการยางพาราในตลาดและยกระดับราคายางพาราขึ้นมา
3.คนที่อยู่ในระบบยางพารา ประกอบด้วย เจ้าของสวน แรงงาน ลูกจ้าง แรงงานก็มีทั้งคนไทย และต่างด้าว ต้องมาจัดระบบสวัสดิการของคนในสวนยางทั้งหมด เป็นแนวทางซึ่งสอดคล้องกับนโยบายในภาพใหญ่ของประชาธิปัตย์อยู่แล้วในเรื่องของการที่จะมีการยกระดับสวัสดิการของคนทุกคนขึ้นมา
4.มีสวนยางที่มีปัญหาเรื่องเอกสารสิทธิ์ก็ต้องมีการนำเอาแนวคิดของ "โฉนดสีฟ้า" ประกอบไปด้วยเรื่องโฉนดชุมชน เรื่องของการจัดการให้พี่น้องประชาชนที่ครอบครองมีที่ทำกินอยู่ มีความอบอุ่นใจ มีความมั่นใจในหลักประกันว่าไม่ถูกไล่ไปไหน
5.เราจะทำระบบสวนยางยั่งยืน เราสามารถใช้พื้นที่เท่าเดิม อาจจะลดต้นยาง แต่มีทั้งพืชเศรษฐกิจอื่น มีทั้งการปลูกป่าเข้ามาเพื่อช่วยรักษา อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตยางด้วย เพราะฉะนั้นสำหรับยางพารา 5 มาตรการนี้เดินได้ทันที แถมเข้าไปอีกก็คือ การแปรรูปนั้นถ้าติดขัดในกฎระเบียบบางอย่าง เช่นเรื่องผังเมือง เอามาทำหมอนยาง เอามาทำแปรรูปเล็กๆ น้อยๆ ต้องยกข้อจำกัดตรงนี้ออกไป
ส่วนปาล์มน้ำมัน ยุคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลไม่มีปัญหาเรื่องราคาตกต่ำเหมือนกัน มาตรการอีก 5 ข้อที่เชื่อว่าทำได้ 1.เอาระบบประกันรายได้เข้ามา อย่างน้อย 4 บาทต่อกิโล ก็สามารถดำเนินการได้ 2.ปาล์มถูกนำไปใช้ในการทำ E10 ได้ ถ้ายกระดับตรงนี้ขึ้นมา ความต้องการในการใช้ปาล์มก็จะเพิ่มขึ้น ก็จะยกระดับราคาปาล์มขึ้น 3. เรามีโรงไฟฟ้าอยู่ที่กระบี่ สามารถที่จะเอาปาล์มมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าได้ ก็จะเป็นการเพิ่มความต้องการปริมาณของปาล์มด้วยและเป็นการแก้ปัญหาการถกเถียงกันเรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ไม่จบไม่สิ้น 4.จะต้องแก้ระบบกฎหมายเพราะเรื่องของการบริหารจัดการปาล์มนั้น มีผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องที่จะทำได้ ดังนั้นถ้าเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนหลายฝ่าย ทั้งตัวเกษตรกรเอง ทั้งตัวโรงงาน และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการพลังงานเข้ามา ก็จะทำให้เรื่องของปาล์มสามารถที่จะมีการจัดการแก้ไขปัญหาได้ 5.เรื่องของคุณภาพที่จะต้องมีการยกระดับขึ้นมา เพิ่มสัดส่วนน้ำมันออกมา จะสามารถได้รับการตอบสนองในราคาที่สูงขึ้น นอกจากนั้นก็จะต้องมีการบริหารในการนำเข้า-ส่งออก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบที่ผ่านมา
ขณะที่ปัญหาประมง ประชาธิปัตย์จะแก้กฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นพระราชกำหนด ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายลำดับรองที่ออกมา เกี่ยวข้องกับเรื่องมาตรฐานแรงงานต่างด้าวบ้าง การกำหนดความผิดต่างๆ เป็นความผิดร้ายแรงเหล่านี้ทั้งหมด และมั่นใจว่าแก้กฎหมายยังตอบโจทย์เรื่องการค้ามนุษย์ สิ่งแวดล้อม และการประมงที่เป็นไปตามมาตรฐานสากลได้
"วันนี้เปิดข่าวเกือบทุกสำนักบอกเฮ EU ปลดใบเหลืองเรื่องประมง ก็เชื่อว่ามีธุรกิจส่งออกอาหารแช่แข็งที่อาจจะเฮ แต่ใบเหลืองที่ถูกปลดไปนี้แลกมาด้วยทั้งน้ำตา และแทบจะเรียกว่าลมหายใจของชาวประมงที่มูลค่าลดลงไปครึ่งหนึ่งในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา เพราะรัฐบาลไปออกกฎหมายที่ไม่เป็นจริง ปฏิบัติไม่ได้ เพียงเพื่อหวังว่าจะไปตอบสนองแรงกดดันจากต่างประเทศ"