รังสิตโพลล์ เชื่อหลังเลือกตั้งมีรัฐบาลผสม คะแนนนิยม พปชร.ยังนำ ปชป-พท.

ข่าวการเมือง Saturday February 16, 2019 13:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เผยผลสำรวจทัศนคติของประชาชนทั่วประเทศ "รังสิตโพลล์" เรื่องการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม จำนวน 8,000 ตัวอย่าง ใน 350 เขตเลือกตั้ง ทั้งในและนอกเขตเทศบาลตามโครงสร้างประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

โดยการเลือกตั้งปี 2562 มีผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขต 11,182 คน มากกว่าผู้สมัครในปี 2554 ที่มีเพียง 2,422 คน หรือมีผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตเพิ่มขึ้นร้อยละ 360 ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมากนี้มาจากการเปลี่ยนแปลงของระบบการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญใหม่ที่เรียกว่าระบบการเลือกตั้งสัดส่วนที่ทำให้ทุกคะแนนเสียงมีความหมายต่อจำนวน ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทำให้เกิดพรรคการเมืองขนาดเล็กเป็นจำนวนมากที่ส่ง ส.ส. เพื่อหวังได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อมากกว่า ส.ส.เขต

อย่างไรก็ดีพรรคการเมืองและผู้สมัคร ส.ส.ที่มีจำนวนมากส่งผลต่อการกระตุ้นให้เกิดความตื่นตัวของคนไทยที่ต้องการมีส่วนร่วมในการเมืองมากขึ้นตามไปด้วย ขณะที่มีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 51.44 ล้านคน ซึ่งในการสำรวจครั้งนี้พบว่าคนไทยมีความตื่นตัวที่จะไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งสูงถึงร้อยละ 83 ผู้ที่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ได้ใช้สิทธิค่อนข้างต่ำคือเพียงร้อยละ 4 เท่านั้น ผู้ที่ยังไม่ตัดสินใจในการเลือกตั้งอยู่ในร้อยละ 13

สำหรับผลสำรวจโดยใช้การประมาณการว่าจะมีผู้ไปใช้สิทธิร้อยละ 75 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด (ราว 38.6 ล้านคน) โดยเลือก 12 พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงสูงสุดตามลำดับ คือ 1.พลังประชารัฐ 8.310 ล้านเสียง (21.5%) 2.ประชาธิปัตย์ 7.045 ล้านเสียง (18.3%) 3.เพื่อไทย 6.532 ล้านเสียง (16.9%) 4.ภูมิใจไทย 3.153 ล้านเสียง (8.2%) 5.อนาคตใหม่ 2.874 ล้านเสียง (7.4%) 6.รวมพลังประชาชาติไทย 2.216 ล้านเสียง(5.7%) 7.เสรีรวมไทย 2.150 ล้านเสียง (5.6%) 8.ชาติไทยพัฒนา 1.626 ล้านเสียง (4.2%) 9.เพื่อชาติ 1.317 ล้านเสียง (3.4%) 10.ชาติพัฒนา 1.215 ล้านเสียง (2.19%) 11.ประชาชาติ 0.989 ล้านเสียง (2.6%) และ 12.ไทยรักษาชาติ 0.887 ล้านเสียง (2.3%)

นายสังศิต กล่าวว่า จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่าคะแนนที่ปรากฏนี้เป็นเพียงแนวโน้มไม่ใช่คะแนนเสียงจริง คะแนนจริงจะทราบได้ในราวสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง, คะแนนความนิยมรวมอาจจะแตกต่างจากจำนวน ส.ส.เขตทั้งหมดที่ได้รับเลือกตั้งได้ หรือพรรคที่ได้คะแนนนิยมสูงสุดอาจไม่ได้ ส.ส.เขตมากที่สุด, พรรคการเมืองที่ส่ง ส.ส.ไม่ครบ 350 เขต จะเสียเปรียบพรรคการเมืองที่ส่ง ส.ส.ครบทุกเขตในแง่ของการนับคะแนนและจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เว้นแต่พรรคการเมืองนั้นจะสามารถชนะ ส.ส.เขตเลือกตั้งได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ตัวอย่างเช่น พรรคเพื่อไทยที่ส่ง ส.ส.เพียง 250 เขต เพราะต้องการแบ่งพื้นที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคให้แก่พรรคไทยรักษาชาติ ทำให้คะแนนเสียงรวมของเพื่อไทยมาเป็นอันดับที่ 3,

ระบบการเลือกตั้งแบบนี้ทำให้พรรคที่ได้คะแนนรวมสูงคือ พลังประชารัฐ (พปชร.) ประชาธิปัตย์ (ปชป.) และเพื่อไทย (พท.)อาจได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อยหรือไม่ได้เลย แต่พรรคที่ได้คะแนนรวมน้อยกว่า คือ ภูมิใจไทย อนาคตใหม่ รวมพลังประชาติไทย และพรรคที่เหลือทั้งหมดจะได้ประโยชน์มากกว่า เพราะอาจมี ส.ส.บัญชีรายชื่อมากกว่า ส.ส. เขต, เนื่องจากการสำรวจทำกับ 12 พรรคการเมืองที่น่าจะได้คะแนนนิยมสูงสุดในการเลือกตั้งครั้งนี้เท่านั้น น่าจะมีพรรคขนาดเล็กอีกจำนวนหนึ่งที่น่าจะได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อต่ำกว่า 10 คน ลงมาอีกหลายพรรค

นายสังสิต กล่าวว่า ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคค่อนข้างแน่นอน ถ้าพลังประชารัฐหรือประชาธิปัตย์เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคที่เข้าร่วมน่าจะเป็นภูมิใจไทย รวมพลังประชาชาติไทย ชาติไทยพัฒนา และชาติพัฒนา หากมีการเลือกตั้งวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลจะมีเสียงรวมกันมากกว่า 300 เสียง แต่ถ้าเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคที่จะเข้าร่วมได้แก่ อนาคตใหม่ เสรีรวมไทย เพื่อชาติ ประชาชาติและอนาคตใหม่

อย่างไรก็ดี พรรคภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา อาจกลายเป็นตัวแปรทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้งที่จะเสริมความเข้มแข็งให้แก่รัฐบาลชุดใหม่ หากมีการเลือกตั้งจริงในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลจะมีเสียงมากกว่า 200 เสียง และหากมี 3 พรรคหลังเข้าร่วมจะมีเสียงรวมกัน 270 เสียง แต่ถ้า 3 พรรคหลังไม่เข้าร่วมกัน พรรคเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะจะมีเสียงประมาณ 200 เสียงเท่านั้น ซึ่งทำให้รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพพอ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ