สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมากระแสข่าวการเมืองค่อนข้างร้อนแรง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเลือกตั้งที่กำลังเป็นที่จับตามองและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนที่สนใจติดตามข่าวการเมือง จึงได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,186 คน ระหว่างวันที่ 12-16 กุมภาพันธ์ 2562 สรุปผลได้ ดังนี้
1) "5 อันดับข่าวการเมือง" ที่ประชาชนสนใจติดตามมากที่สุด คือ ประชาชนให้ความสนใจการเลือกตั้งในวันที่ 24 มีนาคม มาเป็นอันดับที่ 1 ในสัดส่วน 54.68% เพราะใกล้จะถึงวันเลือกตั้งแล้ว สถานการณ์ร้อนแรง เป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง อยากออกไปใช้สิทธิ ฯลฯ
รองลงมาสนใจในเรื่องการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ /การดำเนินการทางกฎหมาย ให้สัดส่วน 30.22% เพราะมีคดีต่าง ๆ เกิดขึ้นหลายคดี เช่น คดียุบพรรค ตัดสิน 6 แกนนำพันธมิตร ปิดวอยซ์ทีวี เป็นต้น ฯลฯ
อันดับ 3 การสรรหานายกรัฐมนตรี /เสนอรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ 21.04% เพราะเป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญต่อบ้านเมือง อยากรู้ว่ามีใครจะมาเป็นนายกฯ อยากฟังนโยบาย ดีเบตกันเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ ฯลฯ
อันดับ 4 ผู้สมัครหน้าใหม่และพรรคการเมืองใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น 19.87% เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้เห็นอะไรใหม่ ๆ หลายคนน่าสนใจ เป็นกระแสสังคมที่เกิดขึ้น โด่งดังในโลกโซเชียล ฯลฯ
อันดับ 5 การหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ 15.29% เพราะมีรูปแบบวิธีการหาเสียงที่แปลกใหม่ น่าสนใจมากขึ้น การแข่งขันสูง แต่ละพรรคมีนโยบายที่แตกต่างกัน ฯลฯ
2) จากข่าวที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนวิตกกังวลในเรื่องใดบ้าง
อันดับ 1 การเลือกตั้งอาจไม่โปร่งใส มีการทำผิดกฎ กติกาที่ตั้งไว้ ในสัดส่วน 39.49%
อันดับ 2 กระแสข่าวการทำรัฐประหาร ปฏิวัติซ้อน ในสัดส่วน 31.98%
อันดับ 3 อนาคตของประเทศหลังการเลือกตั้ง เศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ ในสัดส่วน 27.41%
อันดับ 4 การเลือกนายกรัฐมนตรี ใครจะได้เป็นนายกฯ ในสัดส่วน 20.52%
อันดับ 5 วิธีการเลือกตั้ง จำนวนบัตร การลงคะแนน ในสัดส่วน 14.21%
3) จากข่าวที่เกิดขึ้นมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างไรบ้าง
อันดับ 1 ต้องศึกษาข้อมูลให้มากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายและคุณสมบัติของผู้สมัคร ในสัดส่วน 35.44%
อันดับ 2 ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ มีผู้สมัครและพรรคการเมืองในใจอยู่แล้ว ในสัดส่วน 24.67%
อันดับ 3 ตัดสินใจยากขึ้น กระแสข่าวมีทั้งดีและไม่ดี ในสัดส่วน 21.56%
อันดับ 4 ต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งนี้ ในสัดส่วน 15.89%
อันดับ 5อยากเปิดโอกาสให้พรรคใหม่ๆ คนใหม่ๆ เข้ามาทำงาน ในสัดส่วน 12.33%