นายพิชัย นริพทะพันธุ์ คณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช) กล่าวว่า กรณีที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงว่าเศรษฐกิจไทยปี 61 ขยายตัวได้ 4.1% เป็นการขยายตัวมากที่สุดในรอบ 6 ปีนั้น เป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
ทั้งนี้ หากมองย้อนหลังในปี 56 เศรษฐกิจไทยโตได้เพียง 2.9% เนื่องจากมีการประท้วงของกลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) โดยหากไม่มีการประท้วงดังกล่าวเกิดขึ้นเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตได้ 4% แล้ว
ต่อมาในปี 57 ก็มีการทำรัฐประหาร ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมากแค่ 0.8% และการขยายตัวก็อยู่ในระดับต่ำมาตลอดนับตั้งแต่มีการรัฐประหารที่ระดับ 2.8%, 3.2%, 3.9% และในปี 61 ขยายตัว 4.1% ก็เป็นการขยายตัวที่ต่ำสุดในอาเซียนตลอด 6 ปี
"หากเทียบกับปี 55 ก่อนมีการประท้วงและการปฏิวัติ เศรษฐกิจไทยขยายได้ถึง 6.6% ซึ่งสูงกว่าทั้ง 6 ปีนี้มาก ซึ่งหากไม่มีการรัฐประหารเศรษฐกิจไทยก็น่าจะโตได้อย่างต่ำ 4-5% ทุกปี จึงอยากให้สภาพัฒน์ได้ให้ข้อมูลให้ครบทุกด้าน" นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย ยังระบุว่า นอกจากนี้ จากการได้พบกับตัวแทนของ World Economic Forum (WEF) ยังได้แสดงความเป็นห่วงการปรับตัวของไทยกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วของโลก แม้แต่ WEF เองก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเร็วขนาดไหนในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งตรงกันแนวคิดของพรรค ทษช. ที่เห็นว่าไทยต้องเร่งปรับตัว
และ WEF ยังให้ข้อมูลอีกว่า แม้ไทยจะมีการใช้เทคโนโลยีกันมาก แต่กลับไม่สามารถพัฒนาบริษัทสตาร์ทอัพทางเทคโนโลยีให้ประสพความสำเร็จเป็นยูนิคอร์น (บริษัทที่มูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ได้ ไม่เหมือนในประเทศอินโดนีเซีย หรือฟิลิปปินส์ ที่สามารถพัฒนาบริษัทสตาร์ทอัพทางเทคโนโลยีให้ประสบความสำเร็จเป็นจำนวนมากได้
"เรื่องนี้ได้เคยเตือนแล้วว่าหากประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบบเผด็จการที่กดดันและปิดกั้นเสรีภาพทางความคิดของประชาชน จะทำให้ประชาชนไม่สามารถพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ได้ และได้ส่งผลกระทบแล้ว" นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า ประเทศในกลุ่มอาเซียนมีบริษัทสตาร์ทอัพทางเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศเป็นเงินจำนวนหลายแสนล้านบาท แต่ประเทศไทยได้พลาดโอกาสไป ซึ่งหาก ทษช.สามารถได้เป็นรัฐบาลจะส่งเสริมบริษัทสตาร์ทอัพเหล่านี้อย่างเต็มที่ เพื่อประเทศไทยจะได้พัฒนาและเพิ่มมูลค่าให้กับประเทศ อีกทั้งสร้างโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ โดยหวังว่าประเทศไทยจะสามารถพัฒนาก้าวไกลเป็นฮับการพัฒนาบริษัทสตาร์ทอัพทางเทคโนโลยีของภูมิภาคนี้ได้ อีกทั้งพัฒนาและปฏิรูปประเทศตามนโยบายโค้ดไทยแลนด์ โดยต้องเปิดกว้างให้ผู้มีความรู้ความสามารถจากทั่วโลกเข้ามาร่วมพัฒนา