นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ระหว่างลงพื้นที่ช่วยลูกพรรคหาเสียงในเลือกตั้งที่ 11 เขตสายไหมว่า การหาเสียงของพรรคการเมืองไม่ควรโจมตีกัน เพราะประเด็นที่มีความเห็นแตกต่างก็สามารถพูดคุยในเชิงนโยบายได้เช่น เรื่องงบกระทรวงกลาโหมก็เป็นสิทธิที่แต่ละพรรคจะเสนอ แต่ต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงและเหตุผล
ทั้งนี้ ในช่วงที่ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็น รมว.กลาโหม ก็เคยมีการปรับลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหม แสดงว่าสามารถปรับลดได้ แต่ต้องมีเหตุผลว่าเพื่ออะไร ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ควรนำไปสู่ประเด็นความขัดแย้ง
ในส่วนของงบประมาณภาพรวมทั้งหมดนั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์จะนำเสนอช่วงต้นเดือน มี.ค.นี้ เพื่อให้เห็นภาพใหญ่ในการบริหารเศรษฐกิจการเงินการคลังทั้งหมด โดยจะแถลงข่าวให้เห็นถึงภาพรวมเศรษฐกิจ รวมถึงประเด็นที่นำมาหาเสียงกัน เช่น ผู้สูงอายุ การเชื่อมโยงเทคโนโลยีกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งยังพูดกันน้อยเกินไป
หัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวว่า พรรคเดินหน้าหาเสียงด้วยนโยบาย และอยากให้เกิดความมั่นใจว่าเลือกตั้งแล้วมีความสงบ สามารถเดินหน้าแก้ปัญหาพื้นฐานได้อย่างจริงจัง เพราะประชาชนอยากรู้ว่าจะแก้ปัญหาปากท้อง แก้จนอย่างไร ไม่ใช่เลือกตั้งแล้วต้องกลับมาสู่จุดนี้อีก อยากให้ทุกพรรคหาเสียงอย่างสร้างสรรค์ นำแนวคิดการเมืองมาพูดคุยสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่อย่าทำในลักษณะขยายผลเพิ่มความขัดแย้ง
ส่วนข้อเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาดีเบตนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ควรร่วมวงสนทนาสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ หากเราอยากกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยก็ควรได้ผู้นำที่มีลักษณะความเป็นประชาธิปไตย โดยลักษณะสำคัญอย่างหนึ่งคือ ต้องสามารถแลกเปลี่ยนและฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้ และแสดงวิสัยทัศน์ร่วมกับคนอื่นได้ ถ้าไม่สร้างค่านิยมแบบนี้ สุดท้ายจะได้ผู้นำแบบอำนาจนิยม
อย่างไรก็ตาม ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนเริ่มสับสนว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ พรรคประชาธิปัตย์จึงได้แสดงให้เห็นว่ามีพรรคการเมืองที่เป็นหลัก มีความเป็นสถาบัน ทำงานการเมืองอย่างสากล เดินหน้าโดยไม่หวั่นไหว และไม่อยากให้ประชาชนหวั่นไหวหรือเสียสมาธิ วันที่ 24 มีนาคมเป็นโอกาสที่ประชาชนจะนำประเทศชาติหลุดพ้นจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันให้ได้ ซึ่งพบว่าประชาชนตื่นตัวมาก
สำหรับภาวะเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้มีการเติบโต แต่ไปกองอยู่กับคนเพียงกลุ่มเดียว จึงต้องเปลี่ยนวิธีการ ต้องไม่ดูตัวเลขรวมอย่างเดียว แต่จะดูรายละเอียดของแต่ละกลุ่มว่ามีรายได้อย่างไร จึงนำไปสู่การทำนโยบายประกันรายได้ ทั้งภาคการเกษตรและแรงงานเพื่อให้มีความแน่นอนและมีความมั่นคงในชีวิต จากนโยบายแบบนี้เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้
ส่วนที่มีการมองว่านโยบายหลายอย่างมีความคล้ายกับพรรคพลังประชารัฐนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่คล้าย เพราะนโยบายมีทั้งของจริงและของลอกเลียนแบบ ของจริงคือประชาธิปัตย์ได้มาจากการทำงานที่ต่อเนื่อง เช่น เบี้ยยังชีพ และการออมแห่งชาติ ที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นคนริเริ่ม ทั้งๆ ที่หลายยุคหลายสมัยไม่เคยให้ความสำคัญ รวมถึงนโยบายเด็ก ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์เริ่มนโยบายนี้ นายกรัฐมนตรียังพูดว่า อย่าไปเชื่อจะเอาเงินมาจากไหน แล้ววันนี้อยู่ดีๆ จะมาทำนโยบายแบบเดียวกัน แต่กลับใช้เงินมากกว่าที่สำคัญคือ 4 -5 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีแนวคิดนี้ หรือในเรื่องเด็กอายุ 0 ถึง 8 ขวบ รวมถึงการให้เงินเด็กถ้วนหน้า
"การโฆษณานโยบาย ใครจะพูดอะไรก็ได้ แต่ต้องย้อนกลับไปดูความจริงว่าเป็นอย่างไร ใครทำ เช่น ราคายางพาราไม่มียุคไหนที่ราคาสูงเท่ากับตอนที่พรรคประขาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จึงขอให้มั่นใจว่านโยบายของพรรคประชาธิปัตย์เป็นของแท้แน่นอน" นายอภิสิทธิ์ กล่าว