ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้องคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) พร้อมด้วยแนวร่วมรวม 21 คน กรณีนำกลุ่มชุมนุมปิดล้อมอาคารรัฐสภาเมื่อปี 51 โดยชี้เป็นการชุมนุมโดยสงบ ไม่ก่อความรุนแรง ส่วนเหตุความวุ่นวายเสียหายเกิดจากการยิงแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม
คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ และพวกรวม 21 คน เป็นจำเลยที่ 1-21 ในความผิด 5 ข้อหา ฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาหนังสือหรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญหรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยผู้กระทำมีอาวุธและเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิกมั่วสุม, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายเสรีภาพชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่นหรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้นไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้นโดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215, 216, 309 และ 310
โดยโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5-7 ต.ค.51 จำเลยและกลุ่มพันธมิตรฯ จำนวนหลายพันคนร่วมมั่วสุมภายในทำเนียบรัฐบาล โดยตั้งเวทีปราศรัยและได้ยุยงปลุกปั่นให้กลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งประเทศให้ไปรวมตัวปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้ ส.ส., ส.ว.และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าร่วมประชุมสภา โดยวันที่ 7 ต.ค.51 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกใช้รถยนต์บรรทุกหกล้อติดเครื่องขยายเสียงเคลื่อนที่ พร้อมนำลวดหนามชนิดหีบเพลง แผงกั้นเหล็ก และยางรถยนต์ ปิดเส้นทางผ่านไปยังลานพระบรมรูปทรงม้าเพื่อขวางบริเวณรอบรัฐสภา ทำให้ประชาชนไม่สามารถผ่านไปได้ และปราศรัยปลุกระดมให้ล้อมรัฐสภาเป็นเหตุให้ ส.ส.และ ส.ว.บางส่วนเดินทางเข้าไปประชุมสภาไม่ได้ และจำเลยกับพวกยังร่วมกันข่มขืนใจนายสุริยา ปันจอร์ ส.ว.สตูล, นายมณฑล ไกรวัตนุสรณ์ ส.ส.สมุทรสาคร พรรคเพื่อไทย, นายปัญญา ศรีปัญญา ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย และข้าราชการฝ่ายการเมืองหลายคน โดยไล่ให้กลับบ้านและขู่ให้กลัวว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและยังมีการโห่ร้องด่าทอใช้หนังสติ๊กอาวุธปืนยิง มีดฟัน ใช้ปลายธงทำด้วยเหล็กปลายแหลมแทงเจ้าหน้าที่รับบาดเจ็บสาหัส 1 คน แถมยังมีการนำโซ่ไปล็อกกุญแจทางเข้า-ออกสภาทุกด้าน พร้อมประกาศขู่ว่าหากไม่ยุบสภาในเวลา 18.00 น.จะจับตัวประธานสภาและประธานวุฒิสภา รวมทั้งสมาชิกทั้งหมด ซึ่งสมาชิกรัฐสภาบางส่วนได้ปีนกำแพงหนีออกทางด้านพระที่นั่งวิมานเมฆ ขณะที่เจ้าหน้าที่หลายคนถูกขังอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมง
ต่อมาเวลากลางคืนจำเลยกับพวกยังได้ปราศรัยยุยงให้กลุ่มพันธมิตรฯ จำนวนหลายพันคนโดยมีอาวุธมีด ปืน ไม้ กระบอง ธง หนังสติ๊กฯลฯ เคลื่อนไปหน้าอาคารรัฐสภาและปิดล้อมทางเข้า-ออก และได้นำน้ำมันราดบนถนนหน้ารัฐสภาและขู่ว่าจะใช้กำลังประทุบร้าย ส.ส.และ ส.ว. รวมทั้งใช้รถกระบะที่ขับขี่โดยนายปรีชา ตรีจรูญ พุ่งไล่ชนเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้รับบาดเจ็บหลายราย ซึ่งอัยการได้แยกฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาไปแล้ว ในชั้นสอบสวนจำเลยทั้ง 5 ให้การปฏิเสธ โดยโจทก์ได้ขอให้ศาลพิพากษานับโทษนายสนธิ จำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีหมิ่นประมาท 4 สำนวน และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 อีก 1 สำนวนด้วย
วันนี้จำเลยที่ได้รับการประกันตัว รวมทั้งจำเลยที่ถูกขังตามคำพิพากษาคดีบุกทำเนียบถูกเบิกตัวจากเรือนจำมารับฟังคำตัดสิน โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่นำสืบของคู่ความทั้งสองแล้วเห็นว่า การที่แกนนำปราศรัยให้ประชาชนมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลที่มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวแทนของนายทักษิณ ชินวัตร เป็นการปราศรัยให้ความรู้ต่อประชาชนในการตรวจสอบการทุจริตของรัฐบาล โดยมีการตั้งข้อสังเกตุถึงการขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช ที่มีการพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทำให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ประโยชน์ในเรื่องที่ถูก คตส.ตรวจสอบเรื่องทุจริตและกรณีที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค รวมถึงคดีที่ทำให้กัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก
อีกทั้งการชุมนุมของจำเลยทั้ง 21 คนเป็นการชุมนุมเพื่อแสดงสัญลักษณ์ มีการปราศรัยที่สมเหตุผล ห้ามปรามไม่ให้ก่อความรุนแรง ถือเป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญฉบับปี 50 มาตรา 63 ได้รองรับไว้ และแม้จะมีการกีดขวางกระทบการจราจรไปบ้างแต่ก็เป็นปกติของการชุมนุมแสดงออกตามสิทธิการชุมนุม และตั้งแต่วันที่ 5-7 ต.ค.51 ไม่ปรากฎว่ามีความรุนแรงหรือมีผู้ใดฝ่าฝืนทำให้ทรัพย์สินเสียหาย แต่ความวุ่นวายเกิดขึ้นในช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค.51 เริ่มจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังยิงแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมเพื่อเปิดทางให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เข้าไปแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ทำให้ผู้ชุมนุมซึ่งไม่ทันตั้งตัวได้รับบาดเจ็บ ไม่สามารถระงับอารมณ์ขว้างปาขวดน้ำสิ่งของโต้ตอบ กรณีเป็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการถูกละเมิดสิทธิ ไม่ใช่ว่าการชุมนุมที่ผ่านมาของกลุ่มจำเลยก่อนหน้านั้นจะไม่สงบ อีกทั้งเหตุการอื่นตามฟ้องของอัยการก็ไม่ปรากฎว่ามีแกนนำไปอยู่บริเวณที่เกิดเหตุที่จะเกี่ยวข้องและเป็นผลต่อเนื่องจากการที่ผู้ชุมนุมถูกสลายการชุมนุมเมื่อช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค.51 จากแนวทางการนำสืบไม่พบว่ามีจำเลยทั้ง 21 คนกระทำความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักมากพอพิพากษายกฟ้อง