นายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล กรรมการบริหาร และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ประกาศจุดยืนไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีว่า การออกมาตั้งใจประกาศโดยไม่มีคนถามน่าจะเป็นวาระส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์โดยแท้
"ตั้งแต่นายอภิสิทธิ์รณรงค์หาเสียงมามีเพียงแค่ 2 เรื่องที่นึกออก คือ 1.ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรค ถ้าได้ ส.ส.ไม่ถึง 100 คน และ 2.ประกาศไม่เอาลุงตู่ ส่วนเรื่องนโยบายที่หาเสียงแทบจะนึกไม่ออกว่ามีเรื่องอะไรบ้าง...ถ้าผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้ไม่ถึง 100 คน จะต้องลงมติเลือกหัวหน้าพรรคใหม่ก่อน หรือลงมติเลือกนายกฯ ก่อนกัน" นายสุรพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม พรรคพลังประชารัฐยืนหยัดและยืนยันเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีความเหมาะสมในการบริหารประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และผลงานกว่า 4 ปีที่ผ่านมาที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุข เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว และไม่ได้เป็นการสืบทอดอำนาจใดๆ เพราะอำนาจอยู่ที่ประชาชนคนไทยจะตัดสินใจในวันที่ 24 มี.ค.นี้ ด้วยผลงานและนโยบายที่โดนใจมากกว่าวาทกรรมที่จ้องโจมตีกัน
ด้านนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า เป็นเพียงวาทกรรมทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งเพื่อหวังคะแนนจากประชาชน อีกทั้งเป็นคำพูดที่แสดงถึงความใจแคบ เพราะหากต้องการสืบทอดอำนาจก็ไม่จำเป็นจะต้องให้มีการเลือกตั้งหรือเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตยมีอย่างวันนี้
"พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลที่มีความเหมาะสมสุดที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีในสภาวะการณ์ปัจจุบัน และมั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 อย่างแน่นอน"
นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพปชร. กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ควรที่จะไปคิดแทนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพราะ พปชร.เล็งเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีคุณสมบัติเหมาะสม จึงได้เสนอชื่อให้เป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีในนามของพรรค ที่สำคัญผู้ที่จะตัดสินว่าจะให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็คือเสียงของประชาชนในการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.นี้