นายชุมสาย ศรียาภัย รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉัยสั่งให้รัฐบาลไทยชดใช้ค่าเสียหายแก่บริษัท โฮปเวลล์ จำกัด จำนวน 11,888 ล้านบาทว่า วันนี้คนไทยทั้งประเทศจะต้องเจอกับค่าโง่ครั้งใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเดิมมีความเสียหายมากกว่า นั่นคือกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจมาตรา 44 ออกคำสั่ง คสช.ที่ 72/2559 ปิดเหมืองหรือยกเลิกสัมปทานเหมืองทองคำชาตรี ก่อนสิ้นสุดวาระสัมปทาน ในปี 63 และ 71 ในลักษณะคล้ายกับการยกเลิกสัญญาสัมปทานโฮปเวลล์
เหมืองทองคำดังกล่าวเป็นของ บ.อัครา รีซอร์ทเซส จำกัด ซึ่งมีบริษัท คิงส์ เกท คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด จำกัด สัญชาติออสเตรเลียเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยบริษัทดังกล่าวยื่นฟ้องรัฐบาลไทยต่อคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศฐานละเมิดข้อตกลงเขตการค้าเสรี ไทย- ออสเตรเลีย (TAFTA) เรียกค่าเสียหาย จำนวนเงิน 30,000 ล้านบาท
โครงการเหมืองทองชาตรีนอกจากส่อเค้าต้องจ่ายค่าโง่ซ้ำซ้อนอีกแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่าก่อนที่ภาครัฐจะให้เอกชนทำโครงการต่างๆ มักจะไม่ได้สอบถามชาวบ้านตามหลักประชาธิปไตยอย่างจริงจัง โดยการทำประชาพิจารณ์ส่วนใหญ่เป็นเพียงแค่พิธีกรรมเพื่อให้ครบขั้นตอนตามกฎหมาย สุดท้ายผลกระทบจึงเกิดขึ้นกับชาวบ้านทั้งในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต และทำให้คนไทยต้องจ่ายค่าโง่หลายครั้ง ทั้งค่าโง่โฮปเวลล์ ค่าโง่ทางด่วน ค่าโง่คลองด่าน รวมทั้งที่กำลังจะมาถึงก็คือค่าโง่ปิดเหมืองทอง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะจ่ายกับเอกชนเท่านั้น แต่ยังต้องจ่ายค่าเสียเวลาพัฒนาการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล ตั้งแต่รัฐประหารในปี 34, ปี 49 และปี 57
"หากคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศวินิจฉัยให้รัฐบาลไทยเป็นฝ่ายแพ้คดีจะทำให้ประเทศไทยอาจต้องจ่ายค่าโง่ภาค 2 จากคำสั่งปิดเหมืองทองคำ และรัฐบาลไทยจะต้องชดใช้เงินจำนวน 30,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินภาษีของประชาชนทั้งประเทศที่จะต้องร่วมกันชดใช้ ทั้งยังเป็นการทำลายความเชื่อมั่นในการลงทุนของเอกชนทั้งในและต่างประเทศ จึงนับว่าเป็นสุดยอดผลงานชิ้นสำคัญของรัฐบาล คสช."นายชุมสาย ระบุ