นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เปิดเถลงวิสัยทัศน์ในฐานะได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายนอกห้องประชุมสภาฯ ประกาศความพร้อมทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี
"ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเป็นจริงชื่นชมและยกย่องสิ่งดีๆ ของประเทศไทย ทำสิ่งเหล่านั้นให้เลื่องลือ เป็นที่ยอมรับของนานาชาติยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ก็พร้อมประเมินและคลี่คลายปัญหาที่มีอยู่ตามความเป็นจริงของสังคมไทยและตามให้ทันเงื่อนไขเศรษฐกิจการเมืองโลก"นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร ระบุว่า แม้ประเทศไทยจะมีการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดีกว่าหลายประเทศทั่วโลก แต่ยังมีปัญหาสังคมที่รากฐานและปัญหาเฉพาะตัว ประชาชนคนยังมีความยากลำบาก การเติบโตของประเทศไม่ได้สะท้อนความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างแท้จริง ยังมีช่องว่างระหว่างคนจนและคนรวย ที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด จึงจำเป็นต้องมองประเทศไทยด้วยความเป็นจริง ต้องเข้าใจสถานการณ์และเงื่อนไขของยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งโลกยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยการแข่งขันที่เข้มข้น สงครามการค้าระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ พลวัตรการเปลี่ยนแปลงในประชาคมยุโรป และปัญหาเศรษฐกิจโลกส่งผลต่อการส่งออกและการท่องเที่ยวถดถอย ธุรกิจไทยก็ได้รับผลกระทบโดยตรง
ทั้งนี้ ผู้นำที่เหมาะสมกับยุคสมัยจำเป็นต้องรู้เท่าทัน เข้าใจสังคมไทย เข้าใจสังคมโลก รู้ทันเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนอยู่ทุกวินาที เพื่อที่จะวางตำแหน่งและบทบาทของประเทศไทยให้เหมาะสม รักษาผลประโยชน์ของประเทศ จัดการกับกระแสโลกาภิวัตน์ให้เกิดประโยชน์กับคนไทยมากที่สุดประเทศไทยต้องการผู้นำที่เข้าใจและจัดการกับความเป็นจริงของโลกปัจจุบันได้อย่างเท่าทัน
นายธนาธร กล่าวต่อว่า ตนเองพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเปลี่ยนแปลง เพราะการมองและเข้าใจปัญหาจากความเป็นจริงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ แต่ต้องกล้าเผชิญกับปัญหาที่ต้นตอและกล้าผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงด้วย ต้องคิดอย่างเป็นระบบ กล้าเปลี่ยนแปลง และทำงานเป็นทีม
ประเทศไทยเคยผ่านวิกฤตการณ์มาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลก สงครามเย็น วิกฤตน้ำมัน ภาวะข้าวยากหมากแพง หรือวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง แต่สามารถผ่านมันมาได้ และกลับมีพลังและความร่วมแรงร่วมใจกันมากขึ้นด้วยซ้ำเมื่อเผชิญวิกฤตร้ายแรงเหล่านี้
"สิ่งที่สังคมไทยเผชิญอยู่ในยุคปัจจุบันไม่ใช่สงครามที่เรามองเห็นเครื่องบินรบ หรือได้ยินเสียงระเบิดโครมครามอีกต่อไปหลายคนเปรียบเปรยปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นเหมือน กบที่ถูกต้ม เพราะหากปรับอุณหภูมิของน้ำให้ค่อยๆ สูงขึ้น กบจะไม่รู้ตัว รู้สึกสบาย ก่อนที่จะตายอย่างไม่รู้ตัว เศรษฐกิจสังคมไทยวันนี้ก็คล้ายกัน"นายธนาธร กล่าว
นอกจากนี้ ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศค่อยๆ อ่อนกำลังลง หนี้ครัวเรือนขยับสูงขึ้น ความเหลื่อมล้ำด้านที่ดินและทรัพย์สินทะยานขึ้นไปเรื่อย และคุณภาพการศึกษาไทยถูกทิ้งห่างไปทุกปี
นายธนาธร กล่าวว่า ประเทศจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันท่วงทีก่อนที่จะสายเกินไป ซึ่งไม่สามารถทำสำเร็จได้ด้วยผู้นำเพียงคนเดียว เพราะปัญหาหลายอย่างทับถมมายาวนาน และเชื่อมโยงกับกลุ่มผลประโยชน์แน่นแฟ้น แต่ตนเองพร้อมผลักดันอย่างสุดกำลัง เพราะเราเป็นตัวแทนของราษฎร ไม่ใช่กลุ่มทุน และหลายปัญหาเป็นเรื่องของโครงสร้างอำนาจ เช่น รัฐราชการรวมศูนย์ โครงสร้างการศึกษาที่ซ้ำซ้อน ซึ่งพร้อมเป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชน กล้าชนกับความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้างอย่างตรงไปตรงมาและทำอย่างเป็นระบบ รอบคอบ และรัดกุม นำเครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีมาใช้แก้ปัญหามากขึ้น และต้องมีมาตรการประเมินผลต่อเนื่อง ต้องมีกระบวนการตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลไปพร้อมกัน
"ไม่มียาวิเศษที่จะทำให้แก้ไขปัญหาของประเทศไทยได้ชั่วข้ามคืน แต่ถ้าเราเลือกทิศทาง เลือกเครื่องมือให้ถูกต้อง กล้าเผชิญต้นตอของปัญหา คิดอย่างเป็นระบบ และทำงานเป็นทีม การเปลี่ยนแปลงที่เราฝันไว้จะเป็นจริงได้"นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร ยืนยันว่า พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีที่พาประเทศไทยไปข้างหน้า ซึ่งไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ก็ยังคงได้ยินประโยคที่ว่า ไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนามาตั้งแต่เกิด แต่ประเทศไทยควรไปอยู่ในโลกที่หนึ่ง โดยเห็นว่า เรามีทรัพยากรและศักยภาพมากพอที่จะเป็นประเทศชั้นนำ ประชาชนมีรายได้ดี เศรษฐกิจก้าวหน้า มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ธำรงรักษาปรับแต่งคุณค่าเอกลักษณ์ให้สอดคล้องกับความเป็นไทยในโลกสากล
การสร้างสังคมไทยที่คนไทยเท่าเทียมกัน และประเทศไทยเท่าทันโลก จะไม่ใช่ภารกิจของพรรคอนาคตใหม่อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นภารกิจของรัฐบาลประชาธิปไตย และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่พร้อมพาประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า
อีกด้านหนึ่งเราต้องยืนหยัดสนับสนุนความเท่าเทียมด้านสิทธิและโอกาสของคนไทยอย่างจริงจัง การขจัดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยจะต้องไม่ใช่แค่การปรับตัวเลข เปลี่ยนสถิติ แต่ต้องเป็นการยืนยันความเท่าเทียมของสิทธิและโอกาส และต้องวางเป้าหมายในการสร้างประเทศไทยที่เท่าทันโลก ขีดเส้นมาตรฐานบริการของรัฐและยกระดับเศรษฐกิจของไทยใหม่ให้เท่าทันสากล เป็นประเทศไทยที่ทะยานไปอย่างเต็มศักยภาพ ไม่น้อยหน้าใครในเวทีโลก และไม่มีรัฐประหาร
"ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่พาประเทศไทยไปข้างหน้าและขอยืนยันหลักการประชาธิปไตยอย่างแน่วแน่อีกครั้ง ว่าผมจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงผ่านระบอบรัฐสภา ใช้กลไกที่ยึดโยงกับประชาน มีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุล ยึดมั่นในระบบนิติรัฐ และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขควบคู่กับระบอบประชาธิปไตยอย่างมั่นคงสถาพร แม้จะยากจะนานเพียงใด ก็ต้องยืนยันเส้นทางนี้ ไม่มีทางลัด การด่วนรัฐประหาร ล้มกระดาน บิดเบือนเสียงของประชาชนมีแต่จะพาประเทศไทยเข้าสู่ทางตัน" นายธนาธร กล่าว
พร้อมทั้ง ฝากให้ช่วยกันทำให้ ส.ส. เป็นผู้แทนของราษฎร ไม่ใช่ตัวแทนของอำนาจนอกระบบ อำนาจทหาร และอำนาจทุนช่วยกันทำให้รัฐสภาเป็นสถานที่อันทรงเกียรติ เป็นสถานที่ที่ปัญหาของประชาชนถูกนำมาถกเถียงเพื่อหาทางออก ไม่ใช่สถานที่ที่ผู้คนเอือมระอา เสียดายคะแนนเสียงของตัวเอง และหมดศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตย