พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายชื่อผู้ที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ครบทุกพรรคแล้ว และเข้าสู่ช่วงการตรวจสอบคุณสมบัติ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน มิ.ย.นี้ จากนั้นจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายรายชื่อเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยและโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป
ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ความเหมาะสมของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีตามที่คาดการณ์นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจว่า ส.ส.มาจากการเลือกตั้งประชาชน หากใครมีคุณสมบัติถูกต้องไม่ขัดต่อกฏหมายก็สามารถทำหน้าที่ได้ และหลังจากเริ่มปฏิบัติหน้าที่แล้ว ทุกคนต้องสามารถตรวจสอบการทำงานได้แม้แต่ตัวเอง นั่นหมายความว่า คณะรัฐมนตรีก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ พร้อมยืนยันว่าไม่มีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้
"รายชื่อนิ่งหมดแล้ว มีแค่ 36 ที่จัดให้ได้ไปก่อน ใครไม่ได้ต้องดูว่าจะให้ช่วยงานตรงไหน เพราะทุกคนเป็นห่วงว่า ไปเลือกมาแล้วแล้วไม่มีบทบาทเป็นรัฐมนตรี จะเป็นได้หมดทุกคนหรือไม่" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่าจะควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม ตามที่มีกระแสข่าวหรือไม่ พร้อมย้อนถามกลับผู้สื่อข่าวว่า หากตนเองต้องควบตำแหน่งจริงจะเสียหายตรงไหน และไม่ทราบว่าสถานการณ์ขณะนี้ เหมาะสมที่ตนเองต้องเข้าดูแลกระทรวงกลาโหมด้วยหรือไม่
ส่วนที่บางฝ่ายมองว่าควรให้ตนเข้าไปดูแลกองทัพนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เห็นว่า กองทัพมีการดูแลด้วยระบบและระเบียบวินัยอยู่แล้ว แต่วันนี้ทราบว่าสื่อใจร้อน อยากจะรู้ว่าหน้าตา ครม.เป็นอย่างไร ซึ่งตนอยากให้ทุกคนใจเย็นลง เพราะที่จริงตนใจร้อนกว่า แต่หากสื่อใจเย็นลง ตนจะได้ใจเย็นลงบ้าง และจะได้มีเวลาคิดถึงงานในวันข้างหน้า
"ยังไม่รู้ ตัดสินใจอยู่ ผมไม่ได้มีความอยาก...ถ้าควบแล้วผมจะได้อะไรขึ้นมาหรือไม่ กองทัพเขาคุมด้วยระบบ มีระเบียบวินัยไม่ต้องเป็นห่วงเขา" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พร้อมระบุว่า ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฏหมายไปพิจารณาความเหมาะสม ในกรณีที่ตนจะทำหน้าที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐอีก 1 ตำแหน่ง
นายกรัฐมนตรี หวังว่า รัฐบาลชุดใหม่สามารถทำหน้าที่ได้ เพราะทุกคนถูกเลือกมาโดยประชาชน และทุกอย่างต้องดำเนินการตามกติกาและกรอบกฏหมาย สิ่งสำคัญทุกคนต้องไวัวางใจซึ่งกันและกัน และต้องไม่เริ่มสร้างปัญหาตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน
ส่วนส.ส.ที่ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังสามารถทำงานช่วยเหลือประชาชนได้ตามกลไกการบริหารราชการแผ่นดิน และทุกพื้นที่จะได้รับการดูแลอย่างเท่าเทียม เพราะตนย้ำชัดเจนว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของประเทศ ไม่เลือกปฏิบัติเฉพาะพื้นที่หนึ่งพื้นที่ใด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีตลอด 5 ปีนั้น ถือเป็นการทำงานฝ่ายการเมืองในการบริหารราชการ ซึ่งในตอนแรกยอมรับว่าไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ต้องใช้การเรียนรู้ในทุกๆ ด้าน และต้องรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย จนสามารถทำงานมาได้ตลอด 5 ปี และการทำงานต่อจากนี้ จะเรียกตนเองว่าเป็นนักการเมืองเต็มตัวหรือไม่นั้น ไม่ทราบ แต่ที่รู้คือตนยังเป็นตัวของตัวเอง ยังคงทำงานและอยากให้รอดูผลงานจากนี้ไป ซึ่งที่ผ่านก็มั่นใจว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้เยอะพอสมควร ซึ่งหากได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ก็จะยิ่งทำให้งานเดินหน้าต่อไปได้อีก
พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำว่า การทำงานตลอด 5 ปีที่ผ่านมาและจากนี้ไป จะยังคงรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย รวมไปถึงความเห็นของนิสิต นักศึกษา แต่การแสดงความคิดเห็นจะต้องอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้อง เข้าใจบริบทของสังคมและรู้หน้าที่ของแต่ละคน เพราะประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่ดี แต่ทุกอย่างต้องอยู่บนหลักของกฏหมาย ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกประเทศดำเนินการ
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า แม้การทำงานต่อจากนี้จะไม่มีการใช้ มาตรา 44 แต่รัฐบาลจะใช้กลไกของกฏหมายปกติบริหารราชการและแก้ปัญหาต่างๆ ได้